วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2563

5 วิธีกำจัดสิว ที่ก้น อย่างได้ผล อวดผิวสวยได้ตลอดเวลา

 


สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวที่ก้นนั้นมีหลายกรณีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากความชื้น ความสกปรกในร่มผ้า การที่มีผงซักฟอกติดค้างที่กางเกงใน การสวมกางเกงในที่ระบายอากาศได้ไม่ดี หรือแม้แต่เกิดจากการอักเสบก็ตาม ซึ่งสิวที่ก้นนั้นก็มีวิธีกำจัดที่ทำได้ง่าย และเราก็ได้นำมาแชร์ให้สาวๆ ได้ทราบถึง 5 วิธีด้วยกันดังนี้แล้วค่ะ

1.กินอาหารที่มีประโยชน์
การกินอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ รวมถึงการดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว ย่อมมีส่วนช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง และยังช่วยลดการเกิดสิวที่ก้นได้อีกด้วย ที่สำคัญควรงดกินอาหารประเภททอดหรือมีไขมันปริมาณมาก เพื่อให้การกำจัดสิวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

2.ชำระล้างผิวบริเวณก้นให้สะอาด
การชำระล้างผิวบริเวณก้นให้สะอาด จะช่วยกำจัดสิวที่ก้นได้ดี เพราะสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวคือ เหงื่อไคลและสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ในร่มผ้านั่นเอง ดังนั้นจึงควรใส่ใจในการทำความสะอาดผิวบริเวณก้นด้วยการใช้สบู่ที่มีส่วนผสมของเบนโซอิล เปอร์ออไซด์ประมาณ 2% เพราะเป็นสารที่ช่วยกำจัดความมันส่วนเกินและสิวที่ก้นได้ดีนั่นเอง


3.สครับผิวก้นเป็นประจำ
การสครับผิวที่ก้นอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง จะช่วยให้การทำความสะอาดผิวบริเวณก้นได้ผลดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งการสครับผิวที่ก้น สาวๆ สามารถทำได้ด้วยการใช้กากกาแฟ เกลือขัดผิว หรือใยบวบจากธรรมชาติ เพราะทุกวิธีล้วนมีส่วนช่วยในการผลัดเซลล์ผิวเก่าออกไป พร้อมเผยผิวที่เรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

4.สวมเสื้อผ้าที่สะอาด ระบายอากาศได้ดี
เสื้อผ้าที่สะอาด ย่อมส่งผลดีต่อผิวในทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะผิวบริเวณก้น ควรใช้เสื้อผ้าที่สะอาดและควรหมั่นเปลี่ยนกางเกงในบ่อยๆ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมมจนทำให้เป็นสิวที่ก้น ในส่วนของเสื้อผ้าที่ใช้ควรเป็นผ้าที่สามารถระบายอากาศได้ดี เพื่อลดการอับชื้นและการสะสมของเหงื่อไคลนั่นเอง


5.ใช้สูตรรักษาแบบธรรมชาติ
การใช้น้ำมะนาวหรือแอปเปิลไซเดอร์ทาบริเวณสิวที่ก้นประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น หรือจะแต้มน้ำมันมะพร้าวหรือทีทรีออยล์ก็ช่วยกำจัดสิวที่ก้นได้เป็นอย่างดี เพราะมีส่วนช่วยในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้

การรักษาสิวที่ก้นจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับสาวๆ อีกต่อไป เพราะแต่ละวิธีการกำจัดสิวที่ก้นที่เรานำมาแชร์กันในวันนี้ ล้วนให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่สำหรับใครที่ต้องการการกำจัดสิวที่สะดวกและง่ายกว่าวิธีที่กล่าวมาข้างต้น แนะนำให้ใช้ยาทาฆ่าเชื้อสิวที่มีขายตามร้านขายยา ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้สิวที่ก้นยุบเร็ว แต่ก็ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัดด้วยเช่นกัน





วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

9 อาการคนท้อง ที่บอกให้รู้ว่า นี่แหละ "ตั้งครรภ์"

 สัญญาณการตั้งครรภ์ไม่ได้มีแค่คลื่นไส้อาเจียนเท่านั้นนะ เพราะ "อาการคนท้อง" ในระยะแรกๆอาจจะไม่เหมือนกันทุนคน บางคนแพ้มาก หรือ ว่าที่คุณแม่บางคนตั้งครรภ์โดยไม่มีอาการแพ้ท้องเลยสักนิด ส่วนอีกหลายคนก็มีอาการแปลกๆ ที่ชวนให้เข้าใจผิดว่าเป็นอาการเจ็บป่วยแทนเสียนี่แต่ก็จะมีอาการอื่นๆให้สังเกตุได้บ้าง ซึ่งเราจะรวมเอาอาการคนท้องในลักษณะต่างๆที่คนท้องจะมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ให้ว่าที่คุณแม่ได้ลองสังเกตุกันว่า อาการของคุณตอนนี้ บ่งบอกว่าคุณมีการตั้งครรภ์แล้วหรือยัง ? ว่าที่คุณแม่หมาดๆ จะมีอาการอะไรบ้าง ลองไปดูกันหน่อยดีกว่า


อาการคนท้อง

9 อาการคนท้อง ที่บอกให้รู้ว่า นี่แหละ "ตั้งครรภ์"

  1. ประจำเดือนขาด ประจำเดือนขาด ถ้าประจำเดือนที่เคยมาเป็นปกติขาดหายไป รอแล้วรอเล่าไม่มาสักที แสดงว่าคุณอาจจะกำลังมีการตั้งครรภ์ เพราะหลังจากการปฏิสนธิแล้ว ประจำเดือนจะขาดหายไป แนะนำให้ไปซื้อเครื่องตรวจการตั้งครรภ์มาตรวจเถอะ
  2. คลื่นไส้ – อาเจียน เป็นอาการที่พบบ่อยมากจนเป็นสัญลักษณ์ของการตั้งครรภ์ก็ว่าได้ อาการคลื่นไส้อาเจียนมักเกิดขึ้นหลังจากที่ตัวอ่อนปฏิสนธิได้ 1 เดือน และลดลงเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่สอง แต่นี่ไม่ใช่สูตรสำเร็จ คุณแม่บางคนอาจมีอาการแพ้ท้องเร็วกว่ากำหนด ขณะที่บางคนโชคดีไม่มีอาการแพ้ท้องเลย หรือไม่ก็โชคร้ายหน่อย แพ้ท้องไปจนถึงเดือนสุดท้ายก่อนคลอดโน่นเลย
  3. เหม็นนั่นเหม็นนี่ ผล จากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้น สาวๆที่กำลังมีการตั้งครรภ์ อาจทำให้แม่ท้องกลายเป็นคนจมูกไว ได้กลิ่นอะไรก็พานเหม็นจนอยากอาเจียนไปเสียหมด ตอนนี้แหละต่อให้เป็นเนื้อผัดน้ำมันหอยของโปรด ขนุนที่ต้องตุนไว้ในตู้เย็น หรือน้ำหอมที่เคยชอบ ก็อาจไม่น่าพิสมัยอีกต่อไป
  4. หน้าอกบวมและเจ็บ หน้า อกของว่าที่คุณแม่ไตรมาสแรกอาจบวมเพราะมีเลือดไปเลี้ยงบริเวณนั้นมากขึ้นจน รู้สึกเจ็บแปลบ รวมถึงรู้สึกว่าหน้าอกไวต่อสัมผัสคล้ายกับอาการช่วงก่อนมีประจำเดือน
  5. เหนื่อยล้ารู้สึกเหนื่อยมากๆ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลยหรือเปล่า รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนตลอดทั้งวันใช่ไหม นี่อาจจะเป็นผล จากระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็ได้นะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก พอเข้าช่วงไตรมาสสอง พลังของคุณก็จะคืนกลับมา
  6. เลือดออกทางช่องคลอด ช่วง ที่ตัวอ่อนฝังตัวในมดลูก ว่าที่คุณแม่บางท่านอาจมีเลือดไหลออกมาทางช่องคลอด อาการนี้มักเกิดขึ้นในหลังจากตัวอ่อนปฏิสนธิได้11-12 วัน (เวลาเดียวกับที่คุณเริ่มสังเกตว่าประจำเดือนขาด) เลือดที่ไหลออกมามักเป็นเลือดจางสีแดงหรือชมพู และจะหยุดไหลภายใน 1-2 วัน อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณแม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์แล้ว และพบว่ามีเลือดไหลออกมาทางช่องคลอดร่วมกับอาการปวดท้อง ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะท้องนอกมดลูกได้
  7. ท้องป่อง ยังๆ อย่าเพิ่งตกใจ คุณยังไม่เป็นแม่ท้องกลมตั้งแต่ไตรมาสแรกหรอก หน้าท้องที่แบนราบแค่ป่องออกมาหน่อยๆ รู้สึกเอวกางเกงตัวเก่งคับขึ้นมานิดๆ เพราะมีก๊าซในกระเพาะมากขึ้นเท่านั้นเอง
  8. ปัสสาวะบ่อย อาการ ปวดปัสสาวะบ่อยเป็นเรื่องปกติของคุณแม่ที่เริ่มตั้งครรภ์ เพราะร่างกายจะผลิตเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ มากขึ้น ทำให้ไตขับของเสียในรูปของของเหลวมากขึ้นตามไปด้วยถ้าประจำเดือนของ คุณมาไม่ปกติอยู่แล้ว หรือลืมสังเกตว่า มีประจำเดือนครั้งสุดท้ายเมื่อไร อาการทั้งหมดที่กล่าวมาจะเป็นตัวช่วยบงชี้ว่า คุณอาจกำลังตั้งครรภ์ ลองไปซื้อเครื่องมือตรวจการตั้งครรภ์มาตรวจดูก่อน ถ้าผลออกมาเป็นบวก อย่าเพิ่งรีบป่าวประกาศนะ โทรนัดคุณหมอสูติฯ ไปตรวจให้แน่ใจอีกที
  9. มีอาการท้องผูก สาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อมีการตั้งครรภ์ ทำให้การบีบตัวของลำไส้ลดลง มดลูกอาจไปทับลำไส้ใหญ่ การแก้ไขเรื่องท้องผูกในอาการคนท้องลักษณะนี้คือพยายามทานอาหารที่มีกากใยเยอะๆ ดื่มน้ำมากๆ และออกกำลังเบาๆให้พอเหมาะ จะช่วยแก้ไขอาการท้อผูกได้

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2563

วิธีมาส์กหน้าใส ด้วยวิธีธรรมชาติ เห็นผลจริง

 


1.ผงโกโก้และซาวน์ครีม

การใช้ผงโกโก้กับซาวน์ครีม จะเป็นการช่วยขัดผิว เพราะผงโกโก้มีสารที่ช่วยบำรุงผิวในขณะที่ซาวครีมจะมีกรดจากธรรมชาติที่ไม่แรงจนเกินไป จึงช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่าได้เป็นอย่างดี ส่วนวิธีการใช้ไม่ได้ใช้แค่เพียงผงโกโก้และซาวน์ครีมเท่านั้น แต่จะต้องมีการผสมน้ำผึ้ง และไข่ขาวไข่ไก่อีก 1 ฟองผสมรวมกันแล้วพอกหน้าเอาไว้ โดยสูตรนี้ห้ามแช่เกินกว่า 10 นาที เพราะอาจจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้

2.ไข่ไก่

การใช้ไข่ไก่มาร์คหน้าจะคล้ายๆ การใช้ไข่ขาวจากไข่ไก่ลอกผิวหน้า เพียงแต่วิธีนี้จะนำสำลีชุบไข่ขาวมาแปะเอาไว้บนผิวหน้ารอแค่เพียง 10 นาทีก็ล้างออก ในขณะที่การลอกสิวเสี้ยนจะต้องปิดไว้จนกระทั่งสำลีหรือกระดาษทิชชูที่จุ่มนั้นแห้งจึงดึงออก ซึ่งโปรตีนจากไข่จะช่วยบำรุงผิวจากภายนอกซึมซาบเข้าสู่ผิวภายใน เป็นการซ่อมแซมผิวที่สึกหรอช่วยให้หน้าของคุณขาวเนียนยิ่งขึ้น

3.ขมิ้นชันและน้ำผึ้ง

ใช้ขมิ้นชันครึ่งช้อนชากับน้ำผึ้งผสมให้เหลวแล้วนำมาพอกหน้าไว้ ขัดวนเบาๆ เพื่อเป็นการนวดหน้าไปในตัว ทิ้งเอาไว้ 10 นาทีเว้นรอบบริเวณปากและตา จะช่วยแก้ปัญหาสิวอักเสบ รอยสิวแดงดำทั้งหลายและช่วยผลัดผิวให้กระจ่างใสและได้ผิวที่ขาวเนียนอีกด้วย

4.กล้วย น้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว

ใช้กล้วย 1 ผลผสมกับน้ำมันมะกอกและมะนาวครึ่งซีก บดผสมรวมกันคนให้เข้ากันเป็นเนื้อครีม แล้วนำมาทาทิ้งไว้ 15 นาที หลังจากนั้นให้ใช้น้ำอุ่นล้างออก โดยน้ำจะต้องอุ่นกำลังพอดี ซึ่งจะช่วยล้างความสกปรกบนใบหน้าออกได้อย่างหมดจด และลดความมันได้ดีมากทีเดียว

5.แตงกวากับว่านหางจระเข้

สูตรนี้เป็นสูตรของสาวผิวแห้งที่จะช่วยให้ผิวของคุณมีความชุ่มชื้นและยังเป็นการลดรอยต่างๆ บนใบหน้าได้เป็นอย่างดี โดยให้นำน้ำแตงกวากับว่านหางจระเข้มาบดรวมกันให้เป็นเนื้อเดียว แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ ประมาณ 20 นาทีแล้วจึงค่อยล้างออก เท่านี้ใบหน้าของคุณก็จะมีความชุ่มชื้นทำให้ผิวสวยเด้งมากขึ้นแล้วล่ะ

สูตรการรักษาผิวที่เราได้นำเสนอไปนี้เป็นสูตรรักษาผิวที่คุณสามารถหาวัตถุดิบได้ง่ายๆ จากรอบข้างหรือจากร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน ไม่จำเป็นต้องไปหาไกล แถมมีความปลอดภัยต่อผิว และได้ผลลัพธ์ที่ดีอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2563

แค่สู้ ก็เป็นนางงามได้ Miss Universe Thailand 2020

ไม่แปลกใจเลย ที่ชื่อของ ซามีน่า-สิริลักษณ์ ทรงศรี สาวลูกครึ่งไทย-แอฟริกัน-อเมริกัน ติด 30 คนสุดท้ายของการประกวด Miss Universe Thailand 2020 และถูกแฟนนางงามยกให้เป็น "นางงามนักสู้" เนื่องจากชีวิตหลังเวทีประกวดไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

หลังจากมีผู้ใช้เฟซบุ๊ก คุณ โอ ได้เผยภาพบ้านในปัจจุบันของ "ซามีน่า" ซึ่งอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เธอมีเลือดนักสู้อยู่เต็มตัว เดินหน้ามาประกวด มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020 เพียงคนเดียว และทุกวันที่ต้องเดินทางมาทำกิจกรรมกับทางกองประกวดเธอมาด้วยรถโดยสาร 

FB : ponthawat.wonglak.5

"ซามีน่า" มาพร้อมความมั่นใจ ตอบคำถามได้อย่างฉะฉาน สร้างรอยยิ้มอยู่ตลอด แต่ภายใต้ความสวยงาม มั่นใจ ใครจะรู้บ้างว่า ซามีน่า เกิดมาในครอบครัวฐานะยากจน ถึงขั้นไม่มี เธอต้องสู้ชีวิตมาโดยตลอด ในวัยเด็กทำงานรับจ้างตัดอ้อย เก็บข้าวโพด จนภายหลังโตขึ้นขยับมาทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ และเมื่อเข้าสู่มหาวิทยาลัยก็ทำงานเป็นเซลล์ขายของหาเงินส่งตัวเองเรียนเรื่อยมา

ส่วนเส้นทางในวงการนางงาม เริ่มต้นขึ้นเมื่อเธออยากก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง และมุมมองของหลายคนๆ ที่ว่า สาวผิวสีแบบเธอไม่สามารถประสบความสำเร็จบนเวทีประกวดนางงามในเมืองไทยได้ จนเธอพัฒนาตัวเอง พร้อมกับใช้เงินที่มีอยู่อย่างจำกัดในการเข้ามาเก็บตัวที่กรุงเทพฯ

เมื่อไม่นานมานี้ภาพห้องเช่าราคา 1,500 บาท ที่เธออาศัยอยู่ถูกแชร์มากมาย เธอเองถูกยกให้เป็นนางงามนักสู้ เรื่องราวของความลำบากและการถูกบูลลี่ ที่ดูเหมือนเป็นปัญหาใหญ่ของใครหลายคน แต่ "ซามีน่า" รับมือได้อย่างดี

ติดตามบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ https://www.sanook.com/women/167841/

ดูแลผมสวยหลังออกกำลังกาย แม้สระทุกวันไม่พัง

 


1.สระผมด้วยแชมพูที่ไม่มีฟอง
การเลือกใช้แชมพูที่ไม่มีฟองหรือแชมพูที่มีสารซัลเฟตต่ำจะช่วยให้เส้นผมไม่แห้งจนเกินไป ดังนั้นทุกครั้งหลังออกกำลังกาย แนะนำให้ใช้แชมพูสูตรดังกล่าวสระผมให้สะอาด หากเลี่ยงการใช้แชมพูที่มีฟองเยอะก็จะดีมาก เพราะฟองจากแชมพูจะทำให้เส้นผมขาดความชุ่มชื้นได้

2.ไม่ควรใช้ครีมนวดผม
การใช้ครีมนวดผมหลังจากออกกำลังกายจะส่งผลทำให้เส้นผมมันเยิ้มมากขึ้น โดยเฉพาะใครก็ตามที่ชอบสระผมทุกวัน ควรหลีกเลี่ยงการใช้ครีมนวด เพราะการใช้ครีมนวดบ่อยๆ จะเป็นการเพิ่มสารเคมีให้กับเส้นผม ทำให้เส้นผมถูกทำร้าย ซึ่งในความจริงนั้นการสระผมด้วยแชมพูอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว สำหรับการทำความสะอาดเส้นผมหลังออกกำลังกาย


3.ไม่ควรรวบผมไว้ที่จุดเดียว
การรวบผมไว้ที่จุดเดียว หรือมัดผมทรงหางม้า จะทำให้เส้นผมถูกทำร้ายได้มากกว่าที่คิด และการรวบผมไว้ที่จุดเดียวในช่วงเวลาออกกำลังกาย จะยิ่งทำให้เส้นผมอ่อนแอลงเรื่อยๆ สำหรับใครที่กลัวผมชี้ฟู แนะนำให้ถักเปียแบบหลวมๆ แทนการรวบผมหรือมัดหางม้า เพราะการถักเปียแบบหลวมจะไม่ทำให้ผมชี้ฟูและช่วยป้องกันผมขาดหลุดร่วงได้ดีอีกด้วย

4.ไม่ควรพันหัวด้วยผ้าขนหนู
หลายคนมักจะใช้ผ้าขนหนูพันหัว หลังจากสระผมทุกครั้งหลังออกกำลังกาย ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นเรื่องผิดพลาดที่ทำต่อๆ กันมา การเอาผ้าขนหนูมาพันหัวจะทำให้ผ้าดูดซับน้ำออกจากเส้นผมจนหมด จึงทำให้ผมไม่เรียบตรง อีกทั้งยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้เส้นผมแตกปลายอีกด้วย ดังนั้นควรใช้วิธีการบิดน้ำออกจากผมแต่เพียงเบาๆ แทนการใช้ผ้าขนหนูพันหัวจะดีกว่า


5.บำรุงเส้นผมด้วยน้ำมันมะพร้าว
ทุกครั้งหลังเสร็จสิ้นภารกิจการออกกำลังกาย แนะนำให้ใช้น้ำมันมะพร้าวหมักผมไว้ก่อนสระประมาณ 30 นาที วิธีนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยบำรุงเส้นผมให้มีความแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับเส้นผม และยังช่วยป้องกันปัญหาผมขาดร่วงได้อีกด้วย ที่สำคัญยังสามารถใช้แทนเซรั่มหรือครีมบำรุงผมต่างๆ ได้ เพราะจะช่วยให้มั่นใจในเรื่องของสารตกค้างบนหนังศีรษะได้เป็นอย่างดี

นอนน้อยหน้าโทรม แก้ได้

 


ดื่มน้ำให้มากขึ้น
การที่เราพักผ่อนน้อยทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำไปค่อนข้างเยอะ เนื่องจากอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายพักผ่อนไม่เต็มที่ เลยทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ความสามารถในการกักเก็บความชุ่มชื้นของผิวจึงลดลงตาม ทำให้หน้าแห้ง หมองคล้ำ ลอกเป็นขุย และเห็นริ้วรอยได้ง่าย ดูแล้วโทรมสุด ๆ ดังนั้นเราจึงต้องชดเชยน้ำให้กับผิวด้วยการดื่มน้ำให้มากขึ้นกว่าเดิม ใช้การหมั่นจิบบ่อย ๆ ทั้งวันแทนเพื่อคืนน้ำให้กับผิวและเซลล์อวัยวะอื่น ๆ ได้กลับมาทำงานเป็นปกติ

อย่าล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น
หลังตื่นนอน แทนที่จะล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเพื่อให้รู้สึกสบาย ผ่อนคลายผิวหน้า ให้ฝืนล้างหน้าด้วยน้ำเย็นแทนจะดีกว่า เพื่อปลุกทั้งตัวเองและผิวให้ตื่น เพราะน้ำเย็นจะช่วยให้รู้สึกสดชื่น ลดความบวม กระชับรูขุมขน และช่วยอำพรางความโทรมของใบหน้าได้ชั่วคราว หน้าจึงดูสดใสเด้งตึงไม่โทรมเหมือนใช้น้ำอุ่น เพราะอุณหภูมิของน้ำอุ่นจะดึงเอาน้ำที่เหลืออยู่น้อยนิดออกไปจากผิวมากกว่าเดิม หน้าจะยิ่งแห้งและดูเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย

เปลี่ยนวิธีแต่งหน้า
ก่อนแต่งหน้า ให้มาส์กหน้าก่อนสัก 10-15 นาที เพื่อให้ผิวดูชุ่มฉ่ำน้ำ หรือเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นมากขึ้น จากนั้นแต่งหน้ากลบ โดยเปลี่ยนวิธีการแต่งหน้า จากเดิมที่ชอบแต่งแบบแมตต์ โบกหน้าหนาๆ เน้นผิวเรียบเนียน ไม่มันวาว ไม่สะท้อนประกาย มาแต่งแบบดิวอี้ ที่จะทำให้ผิวดูฉ่ำๆ มันวาวนิดๆ ดูสุขภาพดีกว่ากันเยอะ เพราะการโบกหน้าหนาเกินไป จะยิ่งทำให้หน้าดูอิดโรยไม่เป็นธรรมชาติ แถมเห็นริ้วรอยชัดขึ้นด้วย

พกสเปรย์น้ำ
อย่างที่บอกว่าคนนอนน้อยผิวจะดูแห้งและโทรมเอามากๆ ดังนั้นควรหาขวดสเปรย์เล็กๆ ใส่น้ำ ไว้ใช้ฉีดหน้าในกรณีฉุกเฉินที่เครื่องสำอางที่เราโบกไว้เริ่มอำพรางหน้าได้น้อยลง หรืออาจตกร่องเพราะผิวแห้งเกินไปก็ได้ ถ้าใครมีทุนทรัพย์หน่อย จะซื้อสเปรย์น้ำแร่สำหรับฉีดหน้าโดยเฉพาะมาใช้ก็ไม่เสียหาย ฉีดเสร็จให้ซับด้วยกระดาษสำหรับเช็ดหน้าเบาๆ น้ำจะเคลือบชั้นเครื่องสำอางไว้ ต่อชีวิตผิวหน้าโทรมๆ วันอดนอนได้อีกหน่อย



วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2563

ตัดผมช่วยได้ ทรงผมหน้าม้าผู้ชาย แก้ปัญหาหน้าผากกว้าง หัวเถิก

 



        หากในตอนนี้คิดจะเดินเข้าไปในร้านตัดผมแล้วยังไม่รู้ว่าจะตัดผมทรงไหนล่ะก็ Sanook! MEN ขอเป็นอีก หนึ่งทางเลือกในการนำเสนอทรงผมให้กับคุณครับ สำหรับแบบทรงผมนี้เป็นทรงหน้าม้าผู้ชาย หน้าม้าเหมาะสำหรับคนที่หน้าผากกว้าง และคนหัวเถิก เพราะผมหน้าม้า จะช่วยปกปิดหน้าผากเอาไว้ได้ ผมม้ามีหลายแบบครับ ไม่ว่าจะเป็น ม้าเต่อ ม้าตรง ม้าปัด แล้วแต่จะเลือกตัดตามความเหมาะสมและสไตล์ของแต่ละคน แต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้จากคนที่ตัดผมหน้าม้า คือจะทำให้ดูเด็กลงทันทีครับ หากใครสนใจจะตัดผมหน้าม้าแบบไหน ก็เซฟรูปใส่โทรศัพท์มือถือแล้วไปเปิดให้ช่างตัดผมดูได้เลยครับ


แบบทรงผมหน้าม้าชาย


แบบทรงผมชาย


แบบทรงผมชาย ผมหน้าม้า




วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2563

วิธีรักษาสิวไม่มีหัว หน้าใส ได้ผลเร็ว

 สิวไม่มีหัว เป็นสิวที่ก่อให้เกิดความรำคาญ และ เจ็บผิวด้วยนะคะ วันนี้เรามาแนะนำ วิธีง่ายๆ ที่ช่วยรักษาสิวไม่มีหัวให้หายขาด และ ได้ผลเร็วค่ะ

1.ลดอาการปวดด้วยครีมปฏิชีวนะ

สิวที่ไม่มีหัวจะทำการบีบออกได้ยากมากและจะมีความเจ็บปวดทุกครั้งที่บีบหรือกด ดังนั้น คุณควรเลือกใช้ครีมที่มียาปฏิชีวนะในการต้านการอักเสบของสิว หรือครีมที่ใช้รักษาสิวซึ่งต้องมีคุณสมบัติของกรดซาลิไซลิกหรือ benzoyl peroxide  แต้มบริเวณสิวเพราะตัวยาจะช่วยลดการอักเสบ บวมแดงให้ลดลงอย่างรวดเร็ว

2.ประคบร้อน

ใช้กระเป๋าน้ำร้อนใส่น้ำร้อนที่อุณหภูมิไม่เกิน 45 องศา ประคบร้อนตรงที่เป็นสิวทิ้งเอาไว้ 2-3 นาทีต่อการประคบ 1 ครั้งและทำแบบนี้ทุกวันเป็นเวลา 3 วันอาการบวมจากสิวจะลดลงอย่างง่ายดายเลยล่ะ

3.ประคบเย็น

การประคบเย็นก็คือการบรรเทาความรู้สึกเจ็บปวด โดยการใช้น้ำแข็งมาหุ้มด้วยผ้าประคบตรงจุดที่เป็นสิวสักประมาณ 10 นาที อาจทำในช่วงเวลาที่ปวดแต่ต้องทำหลายครั้งต่อวันจนกว่าความปวดจะบรรเทาลง

4.น้ำผึ้ง

น้ำผึ้งนั้นมีสารต้านแบคทีเรียที่จะเข้ามาอุดตันในรูขุมขนทำให้เกิดเป็นสิวได้ คุณผู้หญิงสามารถลดอาการเหล่านี้ลงได้ด้วยการทาน้ำผึ้งในบริเวณที่เป็นสิวทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้บริเวณที่เป็นสิวยุบลงอย่างเห็นได้ชัด

5.ว่านหางจระเข้

การใช้ว่านหางจระเข้นั่นก็คือนำเนื้อว่านหางจระเข้ที่ล้างสะอาดแล้วมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ทาลงบนสิวไม่มีหัวทิ้งไว้ 20 นาทีหรือคุณจะฝานเป็นแผ่นบางมาสก์หน้าไว้เลยก็ได้ เมื่อครบ 20 นาทีแล้วค่อยล้างออก ทำแบบนี้  3 ครั้งต่อวันรับรองสิวจะยุบจนหายดีแน่นอน หรือจะมาส์กผิว ทาผิวด้วยเจลว่านหางจระเข้ ก็ทำให้ผิวฉ่ำน้ำและลดการอักเสบได้จร้า

แนะนำคู่มาส์กสิว ผิวแข็งแรงลดการอักเสบของผิว ดีท๊อกผิวได้เพียงข้ามคืน


6.พบแพทย์

หากสิ่งที่เป็นอยู่นั้นเกิดขึ้นแล้วคุณมีอาการปวดมาก เจ็บจนไม่สามารถประกอบอาชีพภายในชีวิตประจำวันได้ สิ่งที่ควรทำนั่นคือคุณต้องรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อให้แพทย์ทำการตรวจรักษา ไม่อย่างนั้นหากคุณปล่อยเอาไว้จากสิวไม่มีหัวธรรมดาอาจกลายเป็นสิวหัวช้างที่อักเสบลามไปยังจุดอื่นได้เลยทีเดียว

7.มาสก์หน้าเป็นประจำ

สูตรการมาสก์หน้าสำหรับคนที่ชอบเป็นสิวด้วยการใช้ขมิ้น+น้ำผึ้ง+โยเกิร์ตหรือนมอย่างละ 1 ช้อนชามาผสมและคนให้เข้ากัน แล้วมาสก์หน้าทิ้งไว้ 15 นาที  เมื่อครบแล้วจึงล้างออกจะช่วยต้านแบคทีเรียและยับยั้งการเกิดการอักเสบของสิว ทั้งยังลดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวได้อีกด้วย



วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2563

สูตรดีท็อกซ์ ลดพุง ผิวสวยใสออร่าพุ่ง ได้ผลจริง

  


1.สูตรกล้วยน้ำว้า + นมสด

เตรียมนมสด 2 กล่อง และกล้วยน้ำว้า 2 ลูกมาปั่นให้ละเอียด ดื่มหลังจากตื่นนอนในช่วงที่ท้องว่าง จะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี สำหรับสูตรนี้แนะนำให้ทำติดต่อกัน 3 วัน เพื่อเป็นการปรับเวลาในการขับถ่ายช่วงเช้าให้ตรงต่อเวลามากขึ้น

2.สูตรแตงกวา + เลมอน + น้ำแร่ + ใบมิ้นท์

ให้นำเลมอน 2 ลูก และแตงกวา 1/2 ลูก มาฝานบางๆ จากนั้นใส่ใบมิ้นท์ 10 ใบ ใส่ลงไปในขวดโหล ต่อด้วยเติมน้ำแร่ประมาณ 3/4 ถ้วย แช่ไว้ในตู้เย็นประมาณ 7-8 ชั่วโมง แล้วนำมาดื่มในตอนเช้า สูตรนี้จะช่วยกำจัดและชะล้างของเสียออกจากร่างกาย พร้อมทั้งให้ความสดชื่นแก่ร่างกายในช่วงเช้าอีกด้วย แนะนำให้เตรียมก่อนเข้านอน เพื่อที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าสามารถเอามาดื่มได้เลย

3.สูตรแมงลัก + น้ำเปล่า

นำแมงลัก 2 ช้อนชา และน้ำร้อน 1 แก้ว ผสมเข้าด้วยกัน รอให้แมงลักพองตัวเต็มที่จึงเอามาดื่มก่อนนอน ในส่วนของแมงลักนั้นจะอุดมไปด้วยใยอาหารสูง ซึ่งมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ มีความสามารถในการขับของเสียออกจากร่างกายในช่วงเช้า และยังเป็นการทำความสะอาดกระเพาะอาหาร พร้อมทั้งดูดสารอาหารได้ดีขึ้นอีกด้วย

4.สูตรน้ำผึ้ง + โยเกิร์ตรสธรรมชาติ + มะนาว + นมสด

เตรียมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย นมสด 1 กล่อง น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา และมะนาว 1/2 ลูก นำส่วนผสมทั้งหมดเทใส่ลงไปในแก้วแล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นเอามาดื่มทันที สูตรนี้แนะนำให้ดื่มก่อน 7 โมงเช้า เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบขับถ่าย และเพื่อให้ลำไส้สามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น สูตรนี้หลายคนคอนเฟิร์มว่าสามารถทำให้พุงยุบลงได้เร็วจริง

5.สูตรผักบุ้งจีนต้ม

นำผักบุ้งจีน 100 กรัมมาต้มรับประทาน เพราะการทานผักบุ้งจีนต้มนั้น จะช่วยให้ระบบขับถ่ายสามารถทำงานได้ดีขึ้น และยังช่วยลดอาการท้องผูกได้อีกด้วย ในส่วนของการเอาผักบุ้งจีนมาต้มนั้น ก็เพื่อสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงของการควบคุมอาหารสามารถดีท็อกซ์ร่างกายได้ด้วยสูตรนี้ แต่สำหรับใครที่ไม่ได้ควบคุมอาหารแต่อย่างใด สามารถเปลี่ยนมาผัดผักบุ้งจีนแทนได้เช่นกัน

หากใครไม่มีเวลาแนะนำ ไฟเบอร์ลืมอ้วน สำหรับผู้ที่มีปัญหาระบบขับถ่าย ทำให้พุงป๋อง และอึดอัด ลดความอ้วนยังไงก็ไม่ได้ผล https://www.chivabeauty.com/product/202/


สั่งซื้อด่วนทักไลน์ไอดี : chivabeauty



วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2563

อยากพุงยุบต้องรู้จัก อาหาร "โพรไบโอติกส์" ช่วยปรับลำไส้-ระบบขับถ่าย

 



โพรไบโอติกส์ คืออะไร?
รองศาสตราจารย์ วิมล ศรีศุข ภาควิชาอาหารเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า โพรไบโอติกส์ คือ เชื้อจุลินทรีย์ที่มีชีวิต เป็นสายพันธุ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อรับประทานเข้าไปในร่างกายแล้วจะไปตั้งรกรากอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่  ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่แต่เดิมในลำไส้ ทำให้แบคทีเรียที่ดีมีจำนวนมากขึ้น และแบคทีเรียที่ไม่ดีจำนวนลดลง (คือพวกที่ทำให้ท้องอืด ท้องเสีย สร้างสารก่อมะเร็ง สารที่มีกลิ่นเหม็น ฯลฯ) ทำให้สุขภาพของลำไส้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังให้ประโยชน์อื่นๆ เช่น เพิ่มภูมิคุ้มกัน เป็นต้น ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์นั้นๆ

ดังนั้น การบริโภคอาหารที่มีโพรไบโอติกส์ จึงทำให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นได้นั่นเอง

10 อาหาร "โพรไบโอติกส์" ที่ควรรับประทาน
คอทเทจชีส
คอชีสต้องรักสิ่งนี้! เพราะคอมเมทชีสนอกจากจะมีเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว (พลิกดูที่ฉลากข้างบรรจุภัณฑ์เพื่อดูว่ามีจุลินทรีย์ชนิดใดบ้าง) แต่ยังมีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายอย่าง แคลเซียม ในปริมาณสูงอีกด้วย ซึ่งช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรงนั่นเอง


  • กิมจิ
คอเกาหลีต้องเลิฟ! เพราะนอกจากจะมีโพรไบโอติกส์ดีๆ ต่อร่างกาย และมีรสชาติเปรี้ยวๆ จะช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหารเข้มข้นขึ้น อร่อยขึ้นแล้ว กิมจิยังขึ้นชื่อในเรื่องของการช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้อีกด้วย

  • ซาวร์เคราต์
ซาวร์เคราต์ (Sauerkraut) กะหล่ำปลีเปรี้ยวของเยอรมัน ใช้รับประทานเป็นเครื่องเคียงร่วมกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไส้กรอก แฮม หรือนำไปอบร่วมกับเนื้อสัตว์ นอกจากจะช่วยลดความเลี่ยนในการรับประทานเนื้อสัตว์ในมื้ออาหารแล้ว ยังช่วยประบสมดุลในการทำงานของระบบย่อยอาหาร และยังมีกากใยอาหารที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย


  • โยเกิร์ต
กระบวนการในการทำโยเกิร์ตมาจากการหมักเป็นหลัก ดังนั้นเชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่ในโยเกิร์ตจึงเป็นจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และมีอยู่ในปริมาณค่อนข้างสูง ซึ่งช่วยให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ในกรีกโยเกิร์ตที่จะมีจุลินทรีย์ Lactobacillus acidophilus และ Lactobacillus casei ที่ช่วยเพิ่มเชื้อแบคทีเรียที่ดีต่อร่างกายในท้องของเราด้วย

  • มิโสะ
แม้ว่ามิโสะจะมีรสเค็ม ที่แปลว่ามีปริมาณโซเดียมอยู่เยอะพอสมควร แต่มิโสะก็เป็นแหล่งอาหารชั้นดีที่เต็มไปด้วยโปรตีน แคลเซียม ธาตุเหล็ก และแมกนีเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค เสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยในการเผาผลาญไขมันและเปลี่ยนเป็นพลังงาน และช่วยให้หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจเฉียบพลันได้


  • พิคเกิ้ล (แตงกวาดอง)
แตงกวาดองแบบฝรั่ง หรือที่เรียกว่า พิคเกิ้ล (Pickles) นอกจากจะเป็นอาหารหมักดองที่มีเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังมีวิตามินดีๆ เช่น วิตามินเค วิตามินเอ ที่จำเป็นต่อการสร้างเลือดและเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย และมีส่วนสำคัญในการบำรุงหัวใจให้แข็งแรง แต่ต้องจำเอาไว้ด้วยว่า แตงกวาดองมีโซเดียมสูง จึงควรจำกัดปริมาณในการกินในแต่ละครั้งให้ดี
 

  • คอมบูชา
คอมบูชา คือ ชาหมักที่จะมีก๊าซและแอลกอฮอล์เกิดขึ้นเล็กน้อยหลังจากการหมักด้วย ทำให้เกิดกระบวนการที่เรียกว่า “คาร์บอเนชั่น” (carbonation) หรือการที่มีก๊าซอยู่ในเครื่องดื่ม ซึ่งทำให้เกิดโพรไบโอติกส์ในปริมาณสูง รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วนเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิต้านทานโรค นอกจากนี้ยังมีกรดแลคติก หรือแลคติก เอซิด (lactic acid) ที่ช่วยลดอาการท้องเสียได้อีกด้วย
 

  • น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล
น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล (Apple Cider Vinegar) ช่วยในเรื่องของการทำงานของระบบย่อยอาหารได้ดี นิยมนำมาผสมในน้ำสลัด เป็นอาหารที่เหมาะหับคนที่อยากควบคุมน้ำหนัก เพราะเพิ้มการทำงานของระบบเผาผลาญไขมัน และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้รับประทานวันละ 4 ช้อนโต๊ะ
 

  • เทมเป้
เทมเป้เป็นโปรตีนที่ทำมาจากถั่วเหลือง หรือถั่วเมล็ดแห้ง ที่สามารถรับประทานเพื่อทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ ช่วยลดอาการอักเสบในร่างกาย ต่อต้านการเกิดของเนื้องอก และยังมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ให้กับร่างกายได้อีกด้วย


  • พาร์มีซานชีส
ชีสโปรดของใครหลายๆ คน มีกรดแลคติกที่ช่วยสร้างแบคทีเรียที่ดีต่อร่างกายในท้องของเราได้ นอกจากนี้ยังมีสารอาหารสำคัญอย่างโปรตีน และแคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อด้วย







วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563

วิธีแก้ส้นเท้าแตกลายอย่างได้ผล



 

1.น้ำมันมะกอก

การใช้น้ำมันมะกอกทาบริเวณส้นเท้าแตก หรือทาให้ทั่วบริเวณเท้า ทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะช่วยปรับผิวหยาบและแตกให้กลับมาเนียนนุ่มเหมือนเดิมได้อีกครั้ง

2.ยางมะละกอ

สำหรับใครที่ส้นเท้ามีรอยแตก แนะนำให้เอายางมะละกอมาทาบริเวณที่แตก พร้อมทั้งขัดเท้าเป็นประจำทุกวัน วิธีนี้จะช่วยให้ส้นเท้าที่แตกมีความนุ่มมากขึ้น จึงทำให้รอยแตกบริเวณส้นเท้าค่อยๆ หายไป

3.น้ำมะนาว

น้ำมะนาวที่ผสมกับน้ำอุ่น มีส่วนช่วยในการรักษารอยแตกของส้นเท้าได้เป็นอย่างดี เพียงแค่แช่เท้าในน้ำมะนาวที่ผสมน้ำอุ่นสักพัก จะช่วยให้ผิวบริเวณส้นเท้ามีความนุ่มมากขึ้น

4.น้ำผึ้ง

น้ำผึ้งมีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์และสารแอนตี้แบคทีเรีย จึงช่วยให้ผิวของส้นเท้าแตกกลับมานุ่มขึ้น ซึ่งแนะนำให้ผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่น แล้วนำมาแช่เท้าประมาณ 20 นาทีก่อนนอน ทำทุกคืนจะช่วยให้เห็นผลได้เร็วขึ้น

5.น้ำมันมะพร้าว

วิตามินอีที่มีอยู่ในน้ำมันมะพร้าว มีส่วนช่วยในการสมานผิวที่แตกให้กลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง สำหรับใครที่มีส้นเท้าแตก แนะนำให้แช่เท้าในน้ำอุ่น ก่อนที่จะนำที่ขัดเท้านวดด้วยน้ำมันมะพร้าว ซึ่งหากทำก่อนนอน แนะนำให้สวมถุงเท้าเข้านอน จะเป็นการเก็บความชุ่มชื้นให้กับส้นเท้าได้

6.กล้วย

บดกล้วย 1 ลูก ผสมกับน้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำมาพอกไว้บริเวณส้นเท้าแตก แล้วนำถุงพลาสติกมาครอบเท้าอีกชั้น ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นล้างออก แล้วทาครีมบำรุงเท้า วิธีนี้จะช่วยรักษาส้นเท้าแตกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

7.วาสลีน

การใช้วาสลีนทาบริเวณส้นเท้าแตก ถือเป็นวิธีสุดเบสิคที่สามารถทำได้เลยโดยไม่ต้องมีขั้นตอนอะไรมากมาย และยังเป็นไอเทมที่สาวๆ ทุกคนไม่สามารถขาดได้อีกด้วย เพราะวาสลีนไม่เพียงแต่ช่วยรักษาส้นเท้าแตกให้มีความนุ่มชุ่มชื้นอีกครั้งเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผิวบริเวณอื่นที่มีความแห้งกร้านกลับมาเนียนนุ่มได้เช่นกัน





วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2563

เตรียมผิว ก่อนเป็นเจ้าสาว สวยสะกดใจ

 วันสำคัญ ครั้งหนึ่งในชีวิตของสาวๆ จะต้องเตรียมตัวอย่างไร ให้ผิวเราพร้อมสำหรับอวดผิวที่ผ่องออร่า สวยสะกดใจ 

เตรียมตัวเป็นเจ้าสาว
ก่อนเป็นเจ้าสาว อย่างน้อยเราต้องเตรียมตัว เตรียมใจ จัดการ ผิวพรรณและรูปร่าง ก่อน 3-6 เดือนนะจ๊ะ
วิธีง่ายๆ ที่ทำได้เอง ไม่ต้องเข้าคลีนิคแพงๆ มาดูกันนะคะ 

 1. อันดับแรก ที่เราจะทำได้ง่ายๆ คือ การเตรียมหุ่นให้ดี อย่างน้อย 3-6 เดือนก่อนแต่งงาน เราจะต้อง เน้นการรับประทานอาหาร งดเว้นพวกแป้ง และน้ำตาล หากรับประทานข้าว แนะนำ ให้เลือก ข้าวกล้อง ข้าวเพื่อสุขภาพ หลายๆ สายพันธ์ุ จะช่วยให้อิ่มท้องและไม่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลสะสมในร่างกายปริมาณมาก   ๆ หากใครวิ่งไม่ไหว ให้อย่างน้อยเดินเผาผลาญไขมัน วันละ 200 - 400 กิโลแครอรี่

2. สำคัญมาก พยายามทานน้ำเปล่า น้ำชาเขียว ที่มีประโยชน์ ให้ได้ ปริมาณ ตามน้ำหนักตัว

3. ตรวจดูระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ หากให้ดีแล้ว เราควรขับถ่ายอย่างน้อย วันละ 2-3 ครั้ง จึงจะดีต่อร่างกาย  ตัวช่วยเรื่องสุขภาพการขับถ่ายที่ดี แถมยังช่วยให้ผิวพรรณดีขึ้น 



4. ทุกวันเริ่มดูแลผิวด้วยการมาส์กผิวเป็นประจำทุกวัน ประโยชน์ของการหมั่นมีวินัยในการมาส์กผิวคือ จะทำให้ผิวอิ่มฟู พร้อมรับครีมบำรุงผิว และ ช่วยดูดซับสารพิษ และ ทำให้แต่งหน้าได้ง่าย ผิวดูใส เด็กเด้ง ลองมีวินัยทำดู 1 สัปดาห์จะติดใจ หันมาดูแลผิวอย่างจริงจังนะคะ

5. สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการดูแลเส้นผม ให้สวย และ สุขภาพแข็งแรง อย่าปล่อยให้ผมมีโคนหงอกเด็ดขาด เพราะจะดูมีอายุ จุดนี้สำคัญมากๆ เริ่มต้น บำรุงเส้นผม เลือกใช้ แชมพู ครีมหมัคผมตั้งแต่วันนี้นะคะ และเลือกสีให้เข้ากับตัวเอง

6. บำรุงดูแลเล็บให้แข็งแรง และ เตรียมตัวเลือกสีเลือกลายเล็บเอาไว้ จะต้องซ้อมทำก่อน ทุกเดือนนะคะ วันจริงจะได้รู้ว่าจะต้องปรับตรงส่วนไหน

7. อีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ฟันขาว จะต้องดูแลฟันให้ขาว สะอาดอยู่เสมอ 


เริ่มใช้คู่นี้ รับรองฟันสะอาด ฟันขาว 

ปรึกษา สนใจผลิตภัณฑ์ ทักไลน์ Line@ID : @pinpurishop (มี @ นำหน้าด้วยจร้า)





วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2563

แจกสูตร "ราดหน้าทะเลหมี่กรอบ" อร่อยเครื่องแน่น

 เมนูอาหารแนะนำวันนี้ "ราดหน้าทะเลหมี่กรอบ" เครื่องเน้นๆ อร่อยนัว

ราดหน้าเป็นอีกหนึ่งเมนู ที่ยอดนิยมของคนไทย มีหลากหลายเส้น อร่อยนัว 


ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบ

ส่วนผสม

1. เส้นบะหมี่

2. กุ้งแชบ๊วย แกะเปลือกเอาเส้นสีดำออกล้างให้สะอาดพักไว้

3. ปลาหมึก ล้างให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นพักไว้

4. กระดูกหมู (สำหรับทำน้ำซุป)

5. คะน้า ล้างให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นพักไว้

6. รากผักชีกระเทียมไทย พริกไทย โขลกให้ละเอียด

7. แป้งข้าวโพดละลายน้ำ

8. ไข่ไก่

9. น้ำตาล ซีอิ๊วขาว เต้าเจี้ยว


หน้าตาสำเร็จ นัวเครื่องเน้นๆ


วิธีทำ

1. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน รอน้ำมันเดือด ใส่ เส้นบะหมี่ลงไปทอดให้ฟูกรอบ เหลืองทองสวย ตักขึ้นมาพักบนตะแกรง

2. ใส่น้ำมันลงไปในหม้อนิดหน่อย นำรากผักชีกระเทียมพริกไทยที่โขลกแล้วไปผัดในหม้อให้หอม ใส่กระดูกหมูลงไป แล้วเติมน้ำ ปรุงรสด้วย น้ำตาล ซีอิ๊วขาว เต้าเจี้ยว เคี่ยวน้ำซุปกระดูกซุปหมูนุ่ม ชิมรสชาติตามใจชอบ

3. ใส่แป้งข้าวโพดที่ละลายน้ำลงไป ตอนใส่แป้งต้องคนอยู่ตลอดจนน้ำข้นตามที่พอใจเเล้ว ใส่กุ้งกับปลาหมึกลงไปใกล้สุก ตอกไข่ลงไปในขณะที่ตอกไข่ลงไปในหม้อใช้ทัพพีคน ให้ไข่สุก แล้วใส่ผักคะน้าลงไปคนให้ผักสุกแล้วปิดไฟ

4. ตักน้ำราดหน้าลงไปในถ้วยแล้ววางด้วยเส้นบะหมี่ทอดกรอบโรยด้วย พริกไทยป่น หรือจะปรุงรสเพิ่มเติมด้วย พริกป่น น้ำตาล น้ำส้มสายชู น้ำปลาเพิ่มก็ได้ค่ะ

ติดตามที่มา สูตรตำรับอาหารอร่อยได้ที่ https://www.sanook.com/women/166553/



แปรงทามาส์ก 3 ชิ้น ราคา 35 บาทเท่านั้น สนใจทักไลน์ Line@ID : @pinpurishop (พิมพ์ @ นำหน้าด้วยจร้า)


วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ผลไม้สีแดง ตระกูลรี่ ต้านมะเร็ง ดีต่ออายุผิว


ผลไม้สีแดง มีสารไลโคปีนและสารเบต้าแคโรทีน ช่วยเรื่องการต้านอนุมูลอิสระ และ ช่วยลดการเกิดมะเร็ง
อีกทั้งยังทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส

1.สตรอว์เบอร์รี่ : ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่ามะเขือเทศถึง 7 เท่า ช่วยบำรุงสายตาและช่วยป้องกันโรคมะเร็งเต้านมได้เป็นอย่างดี


2.โกจิเบอร์รี่ : หรือ เก๋ากี้ เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนสำคัญ 8 ชนิด มีแคลอรี่ต่ำ และไฟเบอร์สูง ช่วยในการบำรุงสายตา ลดน้ำหนัก และช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่มท้องได้นาน
3.ราสเบอร์รี่ 
ราสเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีเอนไซม์คอยทำหน้าที่ในการช่วยสลายไขมันส่วนเกินในร่างกาย อีกทั้งยังเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณช่วยในการเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญยังช่วยต้านมะเร็งได้ด้วย


4.เชอร์รี่  เชอร์รี่เป็นหนึ่งในผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการนอนหลับ เนื่องจากจะช่วยให้ร่างกายสามารถนอนหลับได้อย่างสบาย รวมทั้งยังช่วยบำรุงสมอง ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ และช่วยในเรื่องความจำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี


5.องุ่นแดง : 
ผลไม้ที่ช่วยกำจัดคอเลสเตอรอลส่วนเกินในร่างกายได้เป็นอย่างดีก็คือองุ่นแดง อีกทั้งยังเป็นผลไม้ที่จะช่วยในการป้องกันโรคหัวใจ บำรุงสมองและความจำ และเนื่องจากองุ่นแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดริ้วรอยและรักษารอยแผลจากการเป็นสิวให้จางลงได้เร็ว


6.แอปเปิลแดง หลายคนที่กำลังลดน้ำหนักมักจะเลือกทานผลไม้อย่างแอปเปิล เพราะเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารหลายชนิด มีทั้งเส้นใยและสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยทำหน้าที่ในการขับถ่ายและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ได้เป็นอย่างดี


วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ชวนทำน้ำพริกกะปิ ทำง่ายอร่อย ดีต่อสุขภาพ


สูตรเด็ดจาก >> https://www.sanook.com/women/166373/

ส่วนผสม

1. พริก จะใช้พริกขี้หนูหรือพริกแดงจินดาก็ได้แล้วแต่ความชอบ
2. กระเทียม
3. กะปิ
4. น้ำปลา
5. มะนาว
6. กุ้งแห้ง


วิธีทำ
1. เริ่มจากตำกุ้งแห้งให้ฟูก่อน จากนั้นจึงใส่กระเทียมลงไปตำให้ละเอียด และใส่พริกลงไปตำให้พอแหลก ความเผ็ดกะเอาตามความชอบได้เลยค่ะ
2. จากนั้นเติมกะปิ ใช้สากนวดให้พอเข้ากัน

3. เติมต่อด้วยน้ำตาลปี๊บ หรือน้ำตาลมะพร้าวแล้วแต่สะดวก น้ำตาลเหล่านี้จะไม่หวานแหลมเท่าน้ำตาลทรายและยังเพิ่มความหอมด้วยค่ะ
4. จากนั้นใช้สากนวดต่อให้ทุกอย่างเข้ากันดี
5. เติมมะนาวเพิ่มรสเปรี้ยว



วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ใครมีมะนาวที่บ้าน มาดูกัน สวยด้วยมะนาว

สวยด้วยมะนาว

ประโยชน์ที่ควรรู้ของมะนาว และวิธีทำสวยด้วยมะนาว


  • บำรุงผิวให้กระจ่างใส


ผสมน้ำมะนาวกับน้ำมันมะพร้าวอย่างละ 2-3 หยดให้เข้ากัน แล้วนำมาทาลงบนผิวที่มีความแห้งกร้าน นวดเบาๆ ให้ซึมลงสู่ผิว น้ำมันมะพร้าวเป็นดั่งมอยส์เจอไรเซอร์จากธรรมชาติที่จะช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื้น ส่วนน้ำมะนาวจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกได้อย่างอ่อนโยน จึงทำให้ผิวกระจ่างใสและมีความชุ่มชื้นได้พร้อมกัน หากทำแบบนี้เป็นประจำ สภาพผิวที่แห้งกร้านนั้นก็จะค่อยๆ หายไป เหลือแต่เพียงผิวที่กระจ่างใสและนุ่มนวลน่าสัมผัส


  • รักษาสิวเสี้ยนและสิวหัวดำ


เนื่องจากมะนาวมีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียได้เป็นอย่างดีจึงช่วยลดสิวได้นั่นเอง ให้ฝานมะนาวเป็นแผ่นบางๆ แล้วนำมาทาลงบนผิวหน้าโดยเน้นถูบริเวณที่มีสิวหัวดำและสิวเสี้ยนบ่อยๆ ปล่อยไว้ประมาณ 5-10 นาที จากนั้นล้างหน้าให้สะอาด รับรองจะช่วยขจัดสิวเสี้ยนและสิวหัวดำให้จางลงได้อย่างแน่นอนค่ะ

  • ปรับสภาพผิวให้ขาวใสขึ้น

น้ำมะนาวมีวิตามินซีและกรดซิตริกที่จะช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้นได้ ซึ่งวิตามินซีนั้นก็นับเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม ช่วยกระตุ้นในการสร้างคอลลาเจนและช่วยลดเลือนจุดด่างดำได้เป็นอย่างดี ให้สาวๆ บีบน้ำมะนาวใส่ถ้วยไว้ จากนั้นเติมน้ำสะอาดลงไปให้กรดจากน้ำมะนาวเจือจางเล็กน้อย แล้วนำมาทาลงบนผิวหน้าจนทั่ว ปล่อยไว้ 5-10 นาทีแล้วล้างหน้าให้สะอาด ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง สูตรนี้ถือเป็นสูตรหน้าใสที่สาวๆ ให้ความนิยมอย่างมาก เพราะจะช่วยรักษาสิว ลดรอยสิว ลดเลือนจุดด่างดำ และปรับสภาพผิวที่หมองคล้ำให้ขาวกระจ่างใสขึ้น หากหมั่นทำเป็นประจำ
  • ลดความมันส่วนเกินบนผิวหน้า

สาวหน้ามันต้องลองสูตรนี้เลยค่ะ เพียงผสมน้ำมะนาว 1 ช้อนชากับไข่ขาว แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้จนแห้ง จากนั้นล้างออกให้สะอาด สูตรหน้าใสนี้นอกจากจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรก ช่วยลดรอยสิว รักษาสิวและลดจุดด่างดำได้แล้ว ยังช่วยลดความมันส่วนเกินบนใบหน้าลงได้ดีอีกด้วย
  • แก้ปัญหาข้อศอกด้าน หัวเข่าดำ

เปลือกมะนาวที่เราใช้เสร็จแล้วห้ามทิ้งเด็ดขาด ให้สาวๆ นำมาขัดถูข้อศอกและหัวเข่าที่ดำกร้าน ทำเป็นประจำ จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก ทำให้ผิวบริเวณที่ดำด้านค่อยๆ ขาวกระจ่างใสและเนียนนุ่มขึ้น
สนใจสุขภาพแนะนำฟรี https://www.facebook.com/beautytipbypao

ขับถ่ายดี สำใส้สะอาด ผิวผ่องออร่า สนใจสั่งซื้อสอบถามทักไลน์ Line@ID : @pinpurishop (มี @ นำหน้าด้วยจร้า)



สนใจเป็นเจ้าของแบรนด์ ครีมกันแดด ทักไลน์ Line@ID : @chivalabcare (มี @ นำหน้าด้วยจร้า)




วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

อาหารสำหรับ สาย "เวทเทรนนิ่ง"


วิธีลดน้ำหนัก ที่ปลอดภัย และ สุขภาพดี ของสายเวทเทรนนิ่ง หากคุณทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานสูงอย่างการออกกำลังกาย คุณก็ยิ่งต้องกินให้เหมาะสมกับการออกกำลังกายแต่ละประเภทด้วย การออกกำลังกายรูปแบบหนึ่งที่คนส่วนใหญ่นิยมก็คือ การเล่นเวทเทรนนิ่ง

สารอาหารที่คนเล่นเวทเทรนนิ่งควรบริโภค

คนเล่นเวทเทรนนิ่งควรได้รับสารอาหารหลัก ได้แก่
  • คาร์โบไฮเดรต
  • โปรตีน
  • ไขมัน

กินเท่าไรถึงจะเหมาะสม?
  • โปรตีนวันละ 1.2-2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
  • คาร์โบไฮเดรต วันละ 6-10 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
  • ไขมัน ควรเน้นเป็นไขมันจากพืชที่ดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันงา ถั่ว อะโวคาโด เนยถั่ว
ก่อนเวทเทรนนิ่ง
การเวทเทรนนิ่งถือเป็นการออกกำลังกายในระดับปานกลางถึงระดับสูงที่ต้องใช้พลังงานมากพอสมควร ฉะนั้น คุณจึงไม่ควรเล่นเวทเทรนนิ่งทั้ง ๆ ที่ท้องว่าง แต่ควรเน้นกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนอย่างละ 35-40 กรัมขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว และอาจเพิ่มอาหารที่มีไขมันดี เช่น อะโวคาโด หรือเมล็ดเจียด้วยก็ได้ เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอ โดยควรกินอาหารก่อนเล่นเวทเทรนนิ่งอย่างน้อย 60-90 นาที หรือบางคนก็อาจต้องกินอาหารก่อนเวทเทรนนิ่งอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายของคุณเอง
ตัวอย่างอาหารก่อนเวทเทรนนิ่ง
  • ขนมปังโฮลวีต 2 แผ่นกับไข่ต้มทั้งฟอง 1 ฟอง และไข่ขาวอย่างเดียว 3 ฟอง
  • กล้วยหอมผลโต 1 ผล กับคอตเทจ ชีส 1 ถ้วย
  • ข้าวขาวหรือข้าวกล้อง กับอกไก่
หลังเวทเทรนนิ่ง

จากการศึกษาวิจัยบางชิ้นแนะนำว่า คุณควรกินโปรตีนหลังจากการเวทเทรนนิ่งเสร็จแล้ว 30 นาที เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น แต่งานวิจัยบางชิ้นก็แนะนำว่า ควรกินโปรตีนหลังจากออกกำลังกายแล้ว 3-4 ชั่วโมง แต่ผู้เชี่ยวชาญก็เผยว่า ระยะเวลาในการกินอาหารหลังเวทเทรนนิ่งนั้นไม่สำคัญเท่าการกินอาหารให้ได้ปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนตามที่ต้องการในแต่ละวัน โดยเน้นปริมาณหรือสารอาหารดังต่อไปนี้

ดื่มน้ำเปล่า หรือเครื่องดื่มเกลือแร่ ภายในเวลา 1 ชั่วโมงหลังเวทเทรนนิ่ง
กินโปรตีน 10-20 กรัม ภายใน 30 นาทีหลังเวทเทรนนิ่ง
กินคาร์โบไฮเดรต 50-100 กรัม หลังเวทเทรนนิ่งทันที
ตัวอย่างอาหารหลังเวทเทรนนิ่ง

กล้วยหอม 1 ผล กับเนยถั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
ขนมปังโฮลวีต กับอกไก่
กรีกโยเกิร์ตใส่ข้าวโอ๊ตและเมล็ดเจีย

เล่นเวทเทรนนิ่ง จำเป็นต้องกินอาหารเสริมไหม
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หากคุณได้รับปริมาณแคลอรี่เพียงพอที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกินอาหารเสริมแต่อย่างใด แต่หากคุณจำเป็นต้องกินอาหารเสริมก็ควรเลือกกินอาหารเสริม ต่อไปนี้

เวย์โปรตีน เพื่อเพิ่มโปรตีนให้ร่างกาย
ครีเอทีน (Creatine) เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอหากอยากเล่นเวทเทรนนิ่งนานกว่าปกติ
คาเฟอีน (Caffeine) เพื่อช่วยลดอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลียหลังเล่นเวทเทรนนิ่ง
เพื่อความปลอดภัย คุณควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอาหารเสริมให้ดี และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจกินอาหารเสริม จะได้ลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงจากการบริโภค



สนใจสุขภาพแนะนำฟรี https://www.facebook.com/beautytipbypao




วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

เคล็ดลับเปลี่ยนตัวเองให้สวยขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

เคล็ดลับเปลี่ยนตัวเองให้สวยขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
1.เพื่อผิวที่สวย เราต้องกินอาหารที่มีประโยชน์
การรับประทานอาหารในช่วงเช้าควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเน้นหนักไปทางหมวดโปรตีน คาร์โบไฮเดรต เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการทำงานหนัก และในช่วงเย็นควรทานเป็นโปรตีนไม่มีไขมันกับวิตามินต่างๆ จากผักและผลไม้ ซึ่งการทานแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ และทำให้ผิวพรรณดูสวยเปล่งปลั่งขึ้นอีกด้วย

เราควรดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 2 ลิตร

2.ดื่มน้ำให้เพียงพอ จะช่วยระบบเผาผลาญ และ ผิวขาวใสขึ้นแบบไม่รู้ตัว
การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสาวๆ ที่ต้องการให้ตัวเองดูดี ผิวไม่แห้งกร้าน ใบหน้าไม่หมองคล้ำ ซึ่งควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้วเป็นอย่างต่ำ จึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย


3.อาบน้ำให้สะอาด
ก่อนที่คุณจะสวยได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่สะอาดเสียก่อน หากคุณเจอเหงื่อมาทั้งวันพอถึงห้องนอนปุ๊บก็ล้มตัวลงนอนเลย นั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน อย่างน้อยคุณควรอาบน้ำวันละ 2 เวลา คือเช้าและเย็นเพื่อสุขอนามัยที่ดีของตัวคุณเอง และยังทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้นอีกด้วย

4.ขยันทาครีม
คนไทยเป็นเชื้อชาติที่มีผิวที่สวยอยู่แล้ว แต่จะดีกว่านี้หากคุณดูแลผิวอย่างถูกวิธี โดยคุณจะต้องใส่ใจในเรื่องของการบำรุงผิวพรรณอย่าให้ขาด ถึงแม้จะอยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปไหน ก็ควรทาครีมบำรุงผิวอยู่เสมอ

5.บำรุงริมฝีปากเป็นประจำ
ผู้หญิงหลายคนดูแลทุกส่วนในร่างกายเป็นอย่างดี แต่ดันมาตกม้าตายที่ริมฝีปาก เพราะปล่อยให้ปากแห้ง แตกเป็นขุย ดังนั้นหากอยากเป็นคนที่ดูเป๊ะทุกองศาต้องไม่ลืมพกลิปบาล์มเพื่อเอาไว้ทาระหว่างวันด้วยนะคะ
6.สครับผิวบ้าง มาส์คผิวเป็นประจำ
การสครับผิวอย่างง่ายที่สุด คือการใช้เกลือขัดผิวจะช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวของร่างกายและเกลือยังมีความเป็นด่างที่ช่วยในการยับยั้งการเกิดแบคทีเรียได้อีกด้วย ดังนั้นมาสครับผิวกันดู แค่อาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอแล้ว

7.แต่งหน้าให้เป็น
การแต่งหน้าอย่ามองว่าเป็นเรื่องที่มองข้ามได้นะคะ เพราะหากรู้จักแต่งก็สามารถทำให้ใบหน้าสวยอิ่มและดูเป็นธรรมชาติได้ และเครื่องสำอางในปัจจุบันก็ยังมีสารที่ช่วยบำรุงทำให้เป็นการป้องกันผิวจากแสงแดดและยังช่วยบำรุงผิวได้อีกด้วย
8.แต่งตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง 
ผู้หญิงแต่ละคนนั้นมีรูปร่างที่ต่างกัน ดังนั้นควรเลือกแต่งตัวให้เหมาะสมกับตัวเองและถูกกาลเทศะ ก็จะช่วยทำให้คุณเป็นคนสวยที่เลอค่าได้แล้ว
สนใจเสื้อผ้าสวย ราคาเบาๆ วินเทจ >> https://www.facebook.com/pinpuricloset

สนใจ #สร้างแบรนด์ครีมสาหร่าย ทักไลน์ Line@ID : @chivalabcare (มี @ นำหน้าด้วยจร้า)