วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2566

แนะนำ ข้อดี ข้อเสีย ของการงีบหลับ กลางวัน

การงีบหลับ เป็นตัวช่วยอย่างหนึ่ง สำหรับการทำงาน ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเรามาดูกันว่า เราควร งีบหลับอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ข้อดี ข้อเสียของการงีบหลับ

การงีบหลับกลางวัน มีข้อดีและข้อเสีย ดังนี้

ข้อดีของการงีบหลับกลางวัน

  • ช่วยเพิ่มพลังงานและลดความเหนื่อยล้า
  • ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น
  • ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น
  • ช่วยให้สมาธิดีขึ้น
  • ช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
  • ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ
  • ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน

ข้อเสียของการงีบหลับกลางวัน

  • หากงีบหลับนานเกินไป อาจทำให้รู้สึกง่วงนอนในตอนกลางคืน
  • หากงีบหลับก่อนเวลานอน อาจทำให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืน
  • อาจทำให้รู้สึกเวียนหัวหรือมึนงงเมื่อตื่นขึ้นมา

ระยะเวลาการงีบหลับกลางวันที่เหมาะสม

ระยะเวลาการงีบหลับกลางวันที่เหมาะสมคือ 15-30 นาที หากงีบหลับนานกว่านั้น อาจทำให้รู้สึกง่วงนอนในตอนกลางคืน

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการงีบหลับกลางวัน

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการงีบหลับกลางวันคือ 13.00-15.00 น. เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องการพักมากที่สุด

คำแนะนำในการงีบหลับกลางวัน

  • ควรหาสถานที่ที่เงียบสงบ มืด และเย็น
  • ควรปิดเสียงโทรศัพท์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ
  • ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนงีบหลับ
  • ควรลุกขึ้นทันทีเมื่อตื่นขึ้นมา

หากใครต้องการงีบหลับกลางวัน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้น เพื่อที่จะได้ประโยชน์จากการงีบหลับมากที่สุด และลดความเสี่ยงที่จะเกิดข้อเสียจากการงีบหลับกลางวัน

วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ดื่มน้ำเปล่าหลังตื่นนอนตอนเช้า ให้ประโยชน์ หรือ เป็นโทษต่อร่างกาย

 น้ำเปล่าคือสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก และ หากเราได้ดื่มน้ำเปล่าหลังตื่นนอนทันทีตอนเช้านั้น จะเป็นประโยชน์ หรือ โทษต่อร่างกาย วันนี้เรามาแนะนำสาระน่ารู้ดีๆ เกี่ยวกับการดื่มน้ำเปล่า เพียง แค่ดื่มน้ำเปล่าเท่านั้น ก็จะเปลี่ยนแปลงสุขภาพ ให้ดีขึ้นได้ มาดูกันเลยนะคะ


การดื่มน้ำเปล่าหลังตื่นนอนตอนเช้ามีประโยชน์มากมาย ดังนี้

  • ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร การดื่มน้ำตอนเช้าช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นการขับถ่าย และช่วยป้องกันอาการท้องผูก
  • ช่วยดีท็อกซ์ร่างกาย การดื่มน้ำเปล่าจะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยให้ผิวพรรณสดใส และสุขภาพโดยรวมดีขึ้น
  • ช่วยเพิ่มพลังงาน การดื่มน้ำเปล่าช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำที่เพียงพอ ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ช่วยให้รู้สึกสดชื่นมีพลังมากขึ้น
  • ช่วยลดน้ำหนัก การดื่มน้ำเปล่าก่อนอาหารจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น จึงช่วยควบคุมปริมาณอาหารและลดน้ำหนักได้
  • ช่วยป้องกันโรคต่างๆ การดื่มน้ำเปล่าอย่างเพียงพอช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคไต โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน

โดยปกติแล้วร่างกายของคนเราต้องการน้ำประมาณ 2 ลิตรต่อวัน แต่ปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวันอาจแตกต่างกันไปตามเพศ อายุ สภาพอากาศ และกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน โดยทั่วไปแล้ว การดื่มน้ำเปล่า 1-2 แก้วหลังตื่นนอนตอนเช้าเป็นปริมาณที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ควรสังเกตอาการของตัวเอง หากดื่มน้ำแล้วรู้สึกปวดท้องหรือคลื่นไส้ ควรลดปริมาณลง

เคล็ดลับในการดื่มน้ำเปล่าหลังตื่นนอนตอนเช้า

  • ดื่มน้ำเปล่าอุณหภูมิห้องหรือน้ำเย็นเล็กน้อย
  • ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 1-2 แก้วหลังตื่นนอน
  • หากดื่มน้ำเปล่าแล้วรู้สึกปวดท้องหรือคลื่นไส้ ควรลดปริมาณลง

การดื่มน้ำเปล่าหลังตื่นนอนตอนเช้าเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกในการเริ่มต้นวันใหม่ ช่วยให้ร่างกายสดชื่น สุขภาพดี และป้องกันโรคต่างๆ ได้

เรื่องที่เกี่ยวข้อง 5 ประโยชน์ที่ได้รับทันทีจากการดื่มน้ำเปล่าหลังตื่นนอนตอนเช้า

การลดน้ำหนักให้ได้ 3 กิโลกรัม ภายใน 10 วัน ทำได้หรือไม่

 การลดน้ำหนักเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายคน และการลดน้ำหนักให้ได้ 3 กิโลกรัม ภายใน 10 วันอาจจะดูไม่เยอะ แต่สำหรับบางคนแล้วถ้าทำไม่ถูกวิธี น้ำหนักก็ไม่สามารถลดได้เลย แถมยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย วันนี้เรามาแนะนำ การลดน้ำหนักให้ได้ 3 กิโลกรัม ใน 10 วัน สำหรับเป็นแนวทางสำหรับ คนที่อยากลดน้ำหนักอย่างจริงจัง ตามมาดูกันเลย


เคล็ดลับลดน้ำหนัก 3 กิโลกรัม ภายใน 10 วัน สามารถทำได้โดยทำตามวิธีดังต่อไปนี้

1. ควบคุมปริมาณอาหารและเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์

การลดน้ำหนักที่ดีควรเป็นการลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยการควบคุมปริมาณอาหารให้พอเหมาะและเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี โปรตีนไขมันต่ำ เป็นต้น หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง และโซเดียมสูง

2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายช่วยเผาผลาญพลังงานและไขมันส่วนเกิน โดยควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน สามารถเลือกออกกำลังกายได้ทั้งแบบแอโรบิก เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และแบบเวทเทรนนิ่ง เช่น ยกน้ำหนัก เล่นโยคะ เป็นต้น

3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

น้ำช่วยในการทำงานของร่างกายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และยังช่วยให้รู้สึกอิ่มท้อง จึงช่วยลดการกินอาหารได้อีกด้วย ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว

4. พักผ่อนให้เพียงพอ

การพักผ่อนให้เพียงพอช่วยให้ร่างกายมีเวลาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และช่วยควบคุมฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความอยากอาหารได้อีกด้วย ผู้ใหญ่ควรนอนหลับอย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง

เคล็ดลับเพิ่มเติม

นอกจากเคล็ดลับข้างต้นแล้ว ยังมีเคล็ดลับเพิ่มเติมที่จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น ดังนี้

  • งดดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ชาไข่มุก น้ำหวาน
  • งดของทอดและอาหารที่มีไขมันสูง
  • เคี้ยวอาหารให้ละเอียด
  • หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป
  • ทานอาหารให้ตรงเวลา
  • ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ทั้งนี้ การลดน้ำหนัก 3 กิโลกรัมภายใน 10 วันอาจทำได้ยากสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากหรือมีภาวะสุขภาพบางอย่าง ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการก่อนเริ่มลดน้ำหนัก เพื่อให้ได้วิธีการลดน้ำหนักที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล

เรื่องที่เกี่ยวข้อง 6 เคล็ดลับลดน้ำหนัก 3 กิโลกรัม ภายใน 10 วัน เห็นผลง่าย ไม่โยโย่

แนะนำช่วงเวลาที่เหมาะสมในการออกกำลังกาย ผอมเร็ว หุ่นกระชับ เพียงรู้ช่วงเวลา

เคล็ดลับหุ่นดี หุ่นกระชับอีกอย่างที่มองข้ามไม่ได้คือ ช่วงเวลาในการออกกำลังกาย วันนี้เราจึงมาแนะนำ ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการออกกำลังกาย 

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการออกกำลังกายนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เป้าหมายการออกกำลังกาย สภาพร่างกาย และไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน

โดยทั่วไปแล้ว ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการออกกำลังกายมีดังนี้

  • การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพทั่วไป ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ โดยสามารถแบ่งเป็นการออกกำลังกายเบาๆ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ หรือออกกำลังกายหนัก 75 นาที 3 วันต่อสัปดาห์ ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ ช่วงเวลาที่สะดวกและสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ

  • การออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก ควรออกกำลังกายอย่างหนักอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ หรือออกกำลังกายอย่างเบาๆ 60 นาทีต่อวัน 3 วันต่อสัปดาห์ ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ ช่วงเวลาที่ร่างกายมีพลังงานเพียงพอ เช่น ตอนเย็นหลังเลิกงานหรือหลังทานอาหารเย็น

  • การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ควรออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ ช่วงเวลาที่ร่างกายพร้อม เช่น ตอนเย็นหลังเลิกงานหรือหลังทานอาหารเย็น

ข้อควรระวังในการเลือกช่วงเวลาออกกำลังกาย

  • ไม่ควรออกกำลังกายทันทีหลังจากรับประทานอาหาร ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายมีเวลาย่อยอาหาร

  • ไม่ควรออกกำลังกายก่อนเข้านอน การออกกำลังกายอย่างหนักอาจทำให้ร่างกายตื่นตัวและนอนหลับยาก

คำแนะนำเพิ่มเติม

  • ควรอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกาย เพื่อลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ

  • ควรยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและป้องกันการบาดเจ็บ

  • ควรดื่มน้ำให้เพียงพอก่อนและหลังออกกำลังกาย

  • ควรฟังเสียงร่างกาย หากรู้สึกเหนื่อยหรือเจ็บ ควรหยุดออกกำลังกายทันที

จากข้อมูลข้างต้น ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการออกกำลังกายคือ ช่วงเวลาที่สะดวกและสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ โดยคำนึงถึงเป้าหมายการออกกำลังกาย สภาพร่างกาย และไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน หากมีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกาย

เครดิต https://www.sanook.com/women/243245/