วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

อันตรายจาก ฝีดาษลิง คืออะไร ติดต่อจากลิงสู่คนได้อย่างไร

 


เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักโรค “ฝีดาษ” หรือไข้ทรพิษ ที่เคยคร่าชีวิตคคนในสมัยก่อนมาหลายร้อยหลายพันคนมาแล้ว เพราะเป็นโรคติดต่อที่น่ากลัว อาการรุนแรง และติดต่อจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งได้ง่าย แต่ในสมัยนี้อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูกันนัก เพราะเรามีวัคซีนที่ฉีดป้องกันให้เราตั้งแต่เด็ก อีกทั้งการศึกษา ระบบสาธารณูปโภคที่สะอาด และทันสมัย ทำให้การติดเชื้อเกิดขึ้นได้ยากมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม มีโรคฝีดาษอีกชนิดหนึ่งที่หลายคนอาจไม่คุ้นหู แต่มีอยู่จริง นั่นคือ “ฝีดาษลิง

ฝีดาษลิง คืออะไร แตกต่างจากโรคฝีดาษปกติอย่างไร

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบายว่า โรคฝีดาษลิง เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส orthopoxvirus เป็นโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคนที่พบได้น้อย โรคนี้พบมากในแอฟริกากลาง และตะวันตก โดยเชื้อไวรัสฝีดาษลิงเป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคฝีดาษในคน และฝีดาษวัว พบในสัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะสัตว์ตระกูลลิง และสัตว์ฟันแทะหลายชนิด เช่น หนู กระรอก กระต่าย เป็นต้น สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงก็อาจติดเชื้อได้ รวมทั้งคนก็สามารถติดเชื้อนี้ได้เช่นกัน

ฝีดาษลิง ติดต่อในคนได้อย่างไร

สำหรับในคน สามารถติดโรคฝีดาษลิงนี้ติดต่อจากการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สิ่งคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือจากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อกัด การแพร่เชื้อจากคนสู่คนอาจเกิดขึ้นได้แต่มีโอกาสน้อยมาก

อาการของโรคฝีดาษลิงในคน

ผู้ป่วยจะแสดงอาการของโรคหลังติดเชื้อประมาณ 12 วัน อาการป่วยของโรคฝีดาษลิงคือ

  1. มีไข้ หนาวสั่น

  2. ปวดหัว เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต

  3. ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง

  4. อ่อนเพลีย

  5. จากนั้นประมาณ 1-3 วัน จะมีผื่นขึ้นบริเวณแขนขา และอาจจะเกิดบนหน้าและลำตัวได้ด้วย

  6. จากผื่น จะกลายเป็นตุ่มหนอง

  7. ในระยะสุดท้ายตุ่มหนองจะมีสะเก็ดคลุมแล้วหลุดออกมา

วิธีรักษาโรคฝีดาษลิงในคน

ตามปกติแล้ว อาการป่วยโรคฝีดาษลิงในคนจะค่อยๆ หายได้เองหลังจากผ่านไปประมาณ 2-4 สัปดาห์ แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพิ่มเติม

ในประเทศไทยขอยืนยันว่าไม่เคยมีรายงานผู้ติดเชื้อโรคฝีดาษลิงดังกล่าว แต่ก็อาจมีความเสี่ยงในประชาชนบางกลุ่ม ได้แก่ แรงงาน นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการท่องเที่ยว นักธุรกิจ ที่เดินทางไปหรือมาจากประเทศที่พบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิง ดังนั้นใครที่เพิ่งเดินทางมาจากประเทศในแถบทวีปแอฟริกา แล้วมีอาการดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

รวมอาการคนท้อง สัญญาณเตือนที่บอกให้รู้ว่า "ตั้งครรภ์"



  1. ประจำเดือนขาด
    อาการประจำเดือนขาด สำหรับคนที่ประจำเดือนมาปกติถ้าประจำเดือนที่เคยมาเป็นปกติขาดหายไป รอแล้วรอเล่าไม่มาสักที แสดงว่าคุณอาจจะกำลังมีการตั้งครรภ์ เพราะหลังจากการปฏิสนธิแล้ว ประจำเดือนจะขาดหายไป แนะนำให้ไปซื้อเครื่องตรวจการตั้งครรภ์มาตรวจ

  2. เหนื่อยง่ายหายใจถี่
    เนื่องจากตัวอ่อนที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ในท้องของคุณแม่นั้นมีความต้องการออกซิเจนจากคุณแม่ จึงทำให้คุณแม่หายใจถี่และรู้สึกเหนื่อยได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อทารกในครรภ์มีการเจริญเติบโตมากยิ่งขึ้น ก็ยิ่งมีแรงกดดันต่อปอดและกระบังลมของคุณแม่ไปด้วย

  3. คัดเต้านม
    อาการคัดเต้านมจะมีความคล้ายกับตอนมีประจำเดือน และสามารถสังเกตเห็นได้ว่าเต้านมจะมีขนาดใหญ่ รู้สึกหนัก รอบหัวนมจะมีสีคล้ำกว่าเดิม และบริเวณผิวหนังของเต้านมจะบางลงจนมองเห็นหลอดเลือดดำได้อย่างเด่นชัดมาก

  4. เมื่อยล้า
    การตั้งครรภ์ในไตรมาสแรกจะทำให้คุณแม่รู้สึกเมื่อยล้าได้ง่าย พร้อมทั้งมีอาการอ่อนล้าและหมดแรง แต่อาการคนท้องลักษณะนี้จะดีขึ้นเมื่ออายุตั้งครรภ์เข้าสู่ไตรมาสที่สอง

  5. คลื่นไส้ อาเจียน
    โดยปกติเมื่ออายุครรภ์เข้าสู่สัปดาห์ที่ 6 คุณแม่ตั้งครรภ์จะเริ่มมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งอาการนี้จะดีขึ้นเมื่อการตั้งครรภ์เข้าสู่ไตรมาสที่สอง แต่ในบางรายจะพบกับอาการคนท้องดังกล่าวตั้งแต่รอบเดือนหายไป

  6. ปัสสาวะบ่อย
    เนื่องจากร่างกายที่อยู่ในช่วงของการตั้งครรภ์จะมีการสร้างของเหลวมากขึ้นกว่าเดิม และเลือดเกิดการไหลเวียนมากขึ้น นั่นจึงส่งผลให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการปวดปัสสาวะบ่อย

  7. ปวดหัว
    อาการปวดหัวถือเป็นหนึ่งในอาการคนท้องที่ถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการตั้งครรภ์เลยก็ว่าได้ ซึ่งฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง ในส่วนของการใช้ยาคุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

  8. ปวดหลัง
    อาการปวดหลังคืออาการคนท้องที่เกิดขึ้นได้ตลอดการตั้งครรภ์ เพราะน้ำหนักตัวของคุณแม่เพิ่มขึ้น รวมทั้งศูนย์กลางของการทรงตัวของคุณแม่เปลี่ยนไปจากเดิม ส่งผลให้การยืน นั่ง หรือเดินเปลี่ยนแปลงไปด้วย

  9. ปวดเกร็งในช่องท้อง
    ในช่วงตั้งครรภ์คุณแม่จะมีอาการปวดเกร็งในช่องท้องคล้ายกับตอนปวดประจำเดือน และหากมีอาการปวดหน่วงๆ เป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากการขยายตัวของมดลูก

  10. อยากอาหารรสเปรี้ยว
    ความอยากอาหารของคุณแม่จะเริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อเริ่มตั้งครรภ์ โดยส่วนใหญ่จะต้องการอาหารรสเปรี้ยว และมักจะมีอาการคลื่นไส้เมื่อได้กลิ่นปลา

  11. มีอาการท้องผูก
    ฮอร์โมน progesterone จะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ ส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร ทำให้อาหารย่อยได้ช้าและมีแก๊สอยู่ในกระเพาะอาหารเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้เกิดอาการท้องผูกได้อีกด้วย

  12. อารมณ์เสียง่าย
    คุณแม่ตั้งครรภ์จะมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงและมักจะอารมณ์เสียง่าย เนื่องจากระดับฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งร่างกายพยายามปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่

  13. อุณหภูมิในร่างกายสูง
    ร่างกายของคุณแม่จะมีอุณหภูมิสูง และรู้สึกร้อนได้ง่าย เนื่องจากร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงและใช้พลังงานมากขึ้นนั่นเอง

  14. ได้กลิ่นรุนแรง
    การตั้งครรภ์จะส่งผลให้คุณแม่มีความไวต่อกลิ่นเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่ากลิ่นนั้นจะมีกลิ่นหอมหรือกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ก็ตาม

  15. เกิดอาการหน้ามืด
    น้ำตาลในเลือดหรือความดันโลหิตจะลดลงในช่วงตั้งครรภ์ นั่นจึงทำให้คุณแม่มีอาการหน้ามืดและวิงเวียนศีรษะได้ง่าย แนะนำให้คุณแม่หมั่นดื่มน้ำให้เพียงพอ จะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้ดี

  16. มีเลือดออกกะปริดกะปรอย
    ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ คุณแม่จะมีเลือดออกกะปริดกะปรอยโดยที่ไม่มีอาการปวดเกร็งท้องเลย คุณแม่ควรสังเกตอาการให้ดี หากมีเลือดออกไม่หยุดควรรีบพบแพทย์ทันที

อาการคนท้อง ทั้ง 16 อาการที่เราได้นำมาแบ่งปันให้คุณแม่ทุกท่านได้ทราบนั้น อาจเกิดขึ้นกับคุณแม่ในแต่ละคนด้วยอาการที่แตกต่างกันออกไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การสังเกตแต่ละอาการให้ดี รวมทั้งการกินอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้สุขภาพร่างกายในขณะตั้งครรภ์แข็งแรงอยู่เสมอ 

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

บอกนิสัย ด้วย "ทรงผม" มาเช็คความแม่น

 สาวๆ ที่ชอบเปลี่ยน "ทรงผม" เชิญทางนี้ ไม่ว่าจะผมยาว ผมสั้น หรือผมดัด ก็สามารถบ่งบอกได้ถึงลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพของผู้ที่เป็นเจ้าของได้ด้วย Sanook Women จะพาไปทายนิสัยจาก "ทรงผม" กัน จะแม่นแค่ไหนต้องเช็ก!

 
สาวๆ ที่ชอบไว้ผมยาวมากๆ



สำหรับสาวๆ ที่ชอบไว้ผมยาวมากๆ ระดับเอว หรือยาวกว่านั้น บ่งบอกถึงนิสัยได้ว่าเป็นคนที่รักอิสระสูง ชอบเรื่องบันเทิงเริงใจ ช่างคิดช่างฝัน อารมณ์แจ่มใส มีความมั่นใจในตัวเอง และมีความอยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา


สาวๆ ที่ชอบไว้ผมยาว


สำหรับสาวๆ ที่ชอบไว้ผมยาวประเภทยาวกลางหลัง หรือยาวเลยช่วงบ่ามาเล็กน้อย แสดงว่าเป็นคนมีความซื่อตรง รักอิสระ ไม่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์ มีความขยันในการทำงาน มีความรับผิดชอบสูง และยังเป็นคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวอีกด้วยค่ะ


สาวๆ ที่ชอบไว้ผมยาวและดัดผม

สังเกตอาการ “โรคซึมเศร้า” วิธีการดูแลนโรคซึมเศร้า ฟื้นฟูจิตใจ

 


อาการโรคซึมเศร้า

“ซึมเศร้า” ทางการแพทย์ หรือ Clinical depression หมายถึง ภาวะซึมเศร้าที่มีมากกว่าอารมณ์เศร้า และเป็นพยาธิสภาพแบบหนึ่งที่พบได้ในหลายๆ โรคทางจิตเวช โดยเฉพาะโรคทางอารมณ์ คือ โรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder หรือ Depressive Episode) และ โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) โรคทางอายุรกรรมบางโรค สารยาบางชนิดสามารถทำให้เกิดอาการซึมเศร้าที่รุนแรงได้

สาเหตุของโรคซึมเศร้า

สาเหตุที่จะกระตุ้นการเกิดโรคซึมเศร้าที่พบบ่อยก็คือ การมีทั้งความเสี่ยงทางพันธุกรรม, ทางสภาพจิตใจ, ประจวบกับการเผชิญกับสถานการณ์เลวร้าย ร่วมกันทั้ง 3 ปัจจัย

  1. โรคซึมเศร้าเกิดจากความเครียด แต่ทั้งนี้คนที่ไม่มีญาติเคยป่วยก็อาจเกิดเป็นโรคนี้ได้ มักพบว่าผู้ป่วยโรคนี้จะมีความผิดปกติของระดับสารเคมี ที่เซลล์สมองสร้างขึ้น เพื่อรักษาสมดุลของอารมณ์
  2. สภาพทางจิตใจที่เกิดจากการเลี้ยงดู ก็เป็นปัจจัยที่เสี่ยงอีกประการหนึ่งต่อการเกิดโรคซึมเศร้าเช่นกัน คนที่ขาดความภูมิใจในตนเองมองตนเองและโลกที่เขาอยู่ในแง่ลบตลอดเวลา หรือเครียดง่ายเมื่อเจอกับมรสุมชีวิต ล้วนทำให้เขาเหล่านั้นมีโอกาสป่วยง่ายขึ้น
  3. การเผชิญกับสถานการณ์เลวร้าย เช่น หากชีวิตพบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ต้องเจ็บป่วยเรื้อรัง ความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดไม่ราบรื่น หรือต้องมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ไม่ปรารถนา ก็อาจกระตุ้นให้โรคซึมเศร้ากำเริบได้

อาการของโรคซึมเศร้า

  • โรคซึมเศร้ามีอาการรู้สึกเศร้าใจ หม่นหมอง หงุดหงิด หรือรู้สึกกังวลใจ ไม่สบายใจ
  • ขาดความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้าง หรือสิ่งที่เคยให้ความสนุกสนานในอดีต
  • น้ำหนักลดลง หรือเพิ่มขึ้น ความอยากอาหารเปลี่ยนแปลงไป
  • นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินกว่าปกติ
  • คนที่เป็นโรคซึมเศร้า จะรู้สึกผิด สิ้นหวัง หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
  • ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ความจำแย่ลง
  • อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ไม่มีเรี่ยวแรง
  • กระวนกระวาย ไม่อยากทำกิจกรรมใดๆ
  • คิดถึงแต่ความตาย และอยากที่จะฆ่าตัวตาย

วิธีการรักษาโรคซึมเศร้า

  • การรักษาทางจิตใจของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
  • รักษาโรคซึมเศร้าด้วยการใช้ยา

ผลข้างเคียงของยารักษาโรคซึมเศร้า

ยารักษาโรคซึมเศร้า มีผลข้างเคียงอยู่บ้างกับผู้ใช้บางคนอันอาจก่อความรำคาญ แต่ไม่อันตราย อย่างไรก็ตามเมื่อรู้สึกว่ามีผลข้างเคียงของยาเกิดขึ้น กรุณาแจ้งให้แพทย์ทราบ ผลข้างเคียงต่อไปนี้มักเกิดจากกลุ่มยา tricyclics ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ถูกสั่งใช้บ่อยที่สุด และเราได้แนะนำวิธีบรรเทาผลข้างเคียงไว้ท้ายข้อแล้วดังนี้

  1. ปากแห้งคอแห้ง – ดื่มน้ำบ่อยๆ เคี้ยวหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาล รักษาสุขภาพช่องปากให้ดี
  2. ท้องผูก – กินอาหารที่มีกาก หรือมีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ ผักผลไม้ เช่น ส้มโอ มะขาม มะละกอ
  3. ปัญหาการถ่ายปัสสาวะ – อาจมีการถ่ายปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่พุ่งเช่นเคย อาจใช้มือกอหน้าท้องช่วยและปรึกษาแพทย์
  4. ปัญหาทางเพศ – อาจมีปัญหาขณะร่วมเพศได้บ้าง ซึ่งปรึกษาแพทย์ได้
  5. ตาพร่ามัว – อาการนี้จะหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องตัดแว่นใหม่
  6. เวียนศีรษะ – ลุกจากเก้าอี้ หรือเตียงช้าๆ ดื่มน้ำมากขึ้น
  7. ง่วงนอน – อาการอาจหายไปเอง อย่าพยายามขับรถ หรือทำงานกับเครื่องจักร หากง่วงมากในช่วงเช้าให้เลื่อนยามื้อก่อนนอนมากินหัวค่ำกว่าเดิม

สำหรับกลุ่ม SSRI อาจมีผลข้างเคียงที่ต่างออกไป ดังต่อไปนี้

  1. ปวดศีรษะ – อาจมีอาการสักช่วงหนึ่ง แล้วจะหายไป
  2. คลื่นไส้ – มักเป็นเพียงชั่วคราว
  3. นอนไม่หลับหรือกระวนกระวาย – พบได้ในช่วง 2 ถึง 3 สัปดาห์แรก ของการกินยา หากคงอยู่นานควรปรึกษาแพทย์ 
ติดตามอ่านเกร็ดความรู้การดูแลโรคซึมเศร้า คลิ๊ก!!!!

วิธีดื่มน้ำช่วยลดไขมันได้จริงหรือ ทดลองทำตามได้

 

  • ควรดื่มน้ำหลังตื่นนอน : ควรรีบดื่มน้ำทันทีหลังจากตื่นนอน เพื่อให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ลดอาการเวียนศีรษะ มึนๆ งงๆ เพราะขาดน้ำเป็นเวลานาน ดังนั้นหลังตื่นนอนควรดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้ว (200 cc.) เพื่อเติมน้ำและสร้างความสดชื่นให้กับร่างกาย 
เคล็ดลับการดื่มน้ำเคล็ดลับในการดื่มน้ำหลังตื่นนอน ควรดื่มน้ำหลังตื่นนอนทันทีโดยไม่ต้องแปรงฟัน เพราะแบคทีเรียในช่องปากหลังตื่นนอนที่เราดื่มน้ำตามลงไปด้วย จะช่วยทำให้การทำงานของระบบขับถ่ายดีขึ้นได้อีกด้วย

    • ขณะ/หลังออกกำลังกาย การดื่มน้ำระหว่างออกกำลังกาย นอกจากจะช่วยให้ประสิทธิภาพของการออกกำลังกายดีขึ้นแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการเวียนศีรษะ และหน้ามืดระหว่างออกกำลังกายได้อีกด้วย
    เคล็ดลับในการดื่มน้ำ : ระหว่างและหลังออกกำลังกาย สามารถดื่มน้ำเปล่าธรรมดาๆ ได้เลย ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำเกลือแร่ เพราะน้ำเกลือแร่มีน้ำตาลสูง 1 ขวดประมาณ 6-10 ช้องชา ที่ค่าน้ำตาลที่เราควรได้รับต่อวันเพียง 6 ช้อนชาเท่านั้น น้ำเกลือแร่เหมาะกับคนที่ออกกำลังกายหนักมากๆ เท่านั้น ถ้าออกกำลังกายตามปกติ ดื่มน้ำเปล่าธรรมดาก็เพียงพอแล้ว โดยจะดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิห้องก็ได้ แต่ไม่แนะนำน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน เพราะอาจทำให้ร่างกายอุณหภูมิสูงขึ้นได้
    • ก่อนรับประทานอาหาร 30 นาที
    การดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหาร 30 นาที จะเป็นการกระตุ้นร่างกายว่า เรากำลังจะเริ่มรับประทานอาหารเข้าไปแล้วนะ เพื่อให้ระบบย่อยอาหารเตรียมพร้อมต่อการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารยังอาจทำให้เราอิ่มเร็วขึ้น มีความอยากอาหารน้อยลง จึงเป็นวิธีที่ดีต่อคนที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ด้วย แต่ไม่ควรดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารมากเกินไป อาจทำให้จุกเสียดท้องได้
    • ก่อนอาบน้ำ
    การดื่มน้ำในช่วงก่อนอาบน้ำ เหมาะสำหรับคนที่ชอบอาบน้ำอุ่น เพราะการอาบน้ำอุ่นทำให้เลือดไหลเวียนไปตามผิวหนังมากยิ่งขึ้น เลือดส่งไปเลี้ยงสมองน้อยลง และอาจเสี่ยงต่ออาการเวียนศีรษะ หรือหน้ามืดจากภาวะความดันโลหิตลดลงได้ ซึ่งเป็นอาการที่อันตรายมาก การดื่มน้ำ 1-2 แก้วก่อนอาบน้ำสามารถช่วยลดความเสี่ยงภาวะความดันตกระหว่างอาบน้ำอุ่นได้ เพื่อป้องกันอาการหน้ามืดระหว่างอาบน้ำอุ่นได้
    • ก่อนเข้านอน
    การดื่มน้ำก่อนเข้านอนจะช่วยลดความเสี่ยงภาวะขาดน้ำระหว่างที่เรานอนไปหลายชั่วโมงได้ แต่อย่าดื่มน้ำก่อนเข้านอนมากจนเกินไป เพราะอาจรบกวนร่างกายให้ต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะระหว่างที่นอนหลับอยู่บ่อยๆ ได้ ดังนั้นเราควรดื่มน้ำไม่เกิน 1 แก้วก่อนเข้านอน หรือหากดื่มน้ำเพียง 1 แก้วแล้วยังทำให้เราต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะกลางดึก แนะนำให้ดื่มน้ำเพียงครึ่งแก้วก็ได้
    • เมื่อรู้สึกว่ามีไข้ ไม่สบาย
    ในช่วงเวลาที่เรามีไข้ ไม่สบาย ร่างกายของเราอุณหภูมิสูงขึ้น การดื่มน้ำช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย และขับความร้อนออกทางปัสสาวะ ทำให้หายไข้ได้ไวยิ่งขึ้น และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย คนที่มีไข้แต่ดื่มน้ำไม่เพียงพอ อาจใช้เวลาในการหายไข้นานกว่าคนที่ดื่มน้ำมากกว่า แต่ไม่ควรดื่มน้ำครั้งเดียวทั้งขวด ควรค่อยๆ จิบระหว่างวันมากกว่า
    • เมื่อรู้สึกอ่อนเพลีย
    หากมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อย เบื่อ หงุดหงิดง่าย อาจเป็นสัญญาณของภาวะขาดน้ำได้ ดังนั้นการดื่มน้ำเย็นๆ สักแก้ว สามารถช่วยให้อาการเหล่านี้ลดลงได้ โดยการดื่มน้ำที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน เพื่อไม่ให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะขาดน้ำ คือน้ำเปล่าประมาณ 2-3 ลิตร และไม่ควรดื่มน้ำรวดเดียวในปริมาณมาก ควรค่อยๆ จิบ ค่อยๆ ดื่มไปตลอดทั้งวันจะดีกว่า
    • เมื่อต้องอยู่เฝ้าไข้ผู้ป่วย หรือต้องอยู่ในบริเวณที่เต็มไปด้วยผู้ป่วย
    ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า การดื่มน้ำช่วยปกป้องร่างกายของเราจากการติดเชื้อจากผู้ป่วยที่อยู่รอบตัวเราได้ เพราะการดื่มน้ำช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันนั่นเอง นอกจากนี้การดื่มน้ำบ่อยๆ ในช่วงที่อยู่กับผู้ป่วย ยังช่วยลดความตึงเครียดและอาการอ่อนเพลียจากการดูแลผู้ป่วยได้อีกด้วย


    วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

    วิตามินบำรุงผิวพรรณ วิตามินบำรุงผิวหน้าใส ต้องมีติดบ้าน

    แนะนำวิตามิน ทั้ง 8 ตัว ที่มีผลต่อผิวพรรณ สาวๆหนุ่มๆ  

    1.วิตามินเอ

    ประโยชน์วิตามินเอ หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อ เรตินอล เป็นส่วนผสมที่ช่วยลดสิวและลดเลือนริ้วรอยได้เป็นอย่างดี โดยในสกินแคร์ลดสิวมักจะมีส่วนผสมตัวนี้ นอกจากนี้วิตามินเอยังช่วยป้องกันการสูญเสียคอลลาเจน พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ช่วยลดรอยดำ และป้องกันผิวเสียจากการโดนแสงแดดทำร้ายได้ด้วย

    2.วิตามินบี 3
    ประโยชน์วิตามินบี 3 หรือเรียกอีกชื่อคือ Niacinamide เป็นส่วนผสมที่มีอยู่ในสกินแคร์ตัวดังหลายตัว เป็นสารที่ช่วยบำรุงผิว ปลอบประโลมผิว ช่วยลดความแห้งกร้านของผิว บรรเทาอาการแดงและอาการระคายเคืองได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง พร้อมทั้งช่วยปรับสีผิว ลดจุดด่างดำ ลดริ้วรอย และกระชับรูขุมขนให้เล็กลง

    3.วิตามินบี 5
    ประโยชน์วิตามินบี 5 หรือเรียกอีกชื่อคือ Pantothenic acid เป็นวิตามินที่ช่วยปลอบประโลมผิว บำรุงผิวให้มีความเรียบเนียน แก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน ต้านการอักเสบของผิว ลดการระคายเคือง และเติมความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดี

    4.วิตามินซี
    ประโยชน์วิตามินซี หรือที่เรียกกันอีกชื่อคือ L-ascorbic acid จัดเป็นส่วนผสมตัวเด็ดที่อยู่ในสกินแคร์ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดการผลิตเม็ดสี และปกป้องผิวที่ถูกรังสียูวีทำร้ายจนเกิดความหมองคล้ำและสัญญาณแห่งวัยต่างๆ

    5.วิตามินดี
    ประโยชน์วิตามินดี เป็นวิตามินที่ช่วยบำรุงผิวได้ดี ซึ่งโดยปกติแล้วสาวๆ สามารถรับวิตามินชนิดนี้ได้จากการสัมผัสแสงแดดก่อน 10 โมงเช้า และหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วง 10 โมง ถึง บ่าย 2 เพราะเป็นช่วงที่แสงแดดทำร้ายผิวสูงมาก

    6.วิตามินอี
    ประโยชน์วิตามินอี หรือที่เรียกอีกชื่อคือ Alpha-tocopherol เป็นส่วนผสมที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ บำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้น ช่วยปลอบประโลมผิวไม่ให้เกิดการระคายเคือง และช่วยสร้างเกราะป้องกันผิว นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ผิวหนังจากการเกิดออกซิเดชั่นเมื่อถูกรังสียูวีทำร้าย ที่สำคัญช่วยลดสัญญาณแห่งวัยได้ดีอีกด้วย

    7.วิตามินเอฟ
    ประโยชน์วิตามินเอฟ เป็นวิตามินที่พบได้ในกรดไขมันโอเมก้า6 และกรดไขมันโอเมก้า3 เป็นวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นเองได้ ต้องอาศัยจากการกินและใช้สกินแคร์ ในส่วนของวิตามินเอฟ มีส่วนช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง พร้อมทั้งช่วยปลอบประโลมผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวเพื่อไม่ให้ผิวเแห้งกร้าน

    8.วิตามินเค
    ประโยชน์วิตามินเค เป็นวิตามินที่ช่วยลดรอยแตกลาย ช่วยลดรอยคล้ำใต้ตา พร้อมทั้งช่วยเร่งการสมานผิวและทำให้รอยฟกช้ำหรือบาดแผลจากการผ่าตัดหายเร็ว ทั้งนี้ร่างกายของคนเราควรได้รับวิตามินเคประมาณ 90-120 ug จึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย