วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2563

แค่สู้ ก็เป็นนางงามได้ Miss Universe Thailand 2020

ไม่แปลกใจเลย ที่ชื่อของ ซามีน่า-สิริลักษณ์ ทรงศรี สาวลูกครึ่งไทย-แอฟริกัน-อเมริกัน ติด 30 คนสุดท้ายของการประกวด Miss Universe Thailand 2020 และถูกแฟนนางงามยกให้เป็น "นางงามนักสู้" เนื่องจากชีวิตหลังเวทีประกวดไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

หลังจากมีผู้ใช้เฟซบุ๊ก คุณ โอ ได้เผยภาพบ้านในปัจจุบันของ "ซามีน่า" ซึ่งอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เธอมีเลือดนักสู้อยู่เต็มตัว เดินหน้ามาประกวด มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020 เพียงคนเดียว และทุกวันที่ต้องเดินทางมาทำกิจกรรมกับทางกองประกวดเธอมาด้วยรถโดยสาร 

FB : ponthawat.wonglak.5

"ซามีน่า" มาพร้อมความมั่นใจ ตอบคำถามได้อย่างฉะฉาน สร้างรอยยิ้มอยู่ตลอด แต่ภายใต้ความสวยงาม มั่นใจ ใครจะรู้บ้างว่า ซามีน่า เกิดมาในครอบครัวฐานะยากจน ถึงขั้นไม่มี เธอต้องสู้ชีวิตมาโดยตลอด ในวัยเด็กทำงานรับจ้างตัดอ้อย เก็บข้าวโพด จนภายหลังโตขึ้นขยับมาทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ และเมื่อเข้าสู่มหาวิทยาลัยก็ทำงานเป็นเซลล์ขายของหาเงินส่งตัวเองเรียนเรื่อยมา

ส่วนเส้นทางในวงการนางงาม เริ่มต้นขึ้นเมื่อเธออยากก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง และมุมมองของหลายคนๆ ที่ว่า สาวผิวสีแบบเธอไม่สามารถประสบความสำเร็จบนเวทีประกวดนางงามในเมืองไทยได้ จนเธอพัฒนาตัวเอง พร้อมกับใช้เงินที่มีอยู่อย่างจำกัดในการเข้ามาเก็บตัวที่กรุงเทพฯ

เมื่อไม่นานมานี้ภาพห้องเช่าราคา 1,500 บาท ที่เธออาศัยอยู่ถูกแชร์มากมาย เธอเองถูกยกให้เป็นนางงามนักสู้ เรื่องราวของความลำบากและการถูกบูลลี่ ที่ดูเหมือนเป็นปัญหาใหญ่ของใครหลายคน แต่ "ซามีน่า" รับมือได้อย่างดี

ติดตามบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ https://www.sanook.com/women/167841/

ดูแลผมสวยหลังออกกำลังกาย แม้สระทุกวันไม่พัง

 


1.สระผมด้วยแชมพูที่ไม่มีฟอง
การเลือกใช้แชมพูที่ไม่มีฟองหรือแชมพูที่มีสารซัลเฟตต่ำจะช่วยให้เส้นผมไม่แห้งจนเกินไป ดังนั้นทุกครั้งหลังออกกำลังกาย แนะนำให้ใช้แชมพูสูตรดังกล่าวสระผมให้สะอาด หากเลี่ยงการใช้แชมพูที่มีฟองเยอะก็จะดีมาก เพราะฟองจากแชมพูจะทำให้เส้นผมขาดความชุ่มชื้นได้

2.ไม่ควรใช้ครีมนวดผม
การใช้ครีมนวดผมหลังจากออกกำลังกายจะส่งผลทำให้เส้นผมมันเยิ้มมากขึ้น โดยเฉพาะใครก็ตามที่ชอบสระผมทุกวัน ควรหลีกเลี่ยงการใช้ครีมนวด เพราะการใช้ครีมนวดบ่อยๆ จะเป็นการเพิ่มสารเคมีให้กับเส้นผม ทำให้เส้นผมถูกทำร้าย ซึ่งในความจริงนั้นการสระผมด้วยแชมพูอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว สำหรับการทำความสะอาดเส้นผมหลังออกกำลังกาย


3.ไม่ควรรวบผมไว้ที่จุดเดียว
การรวบผมไว้ที่จุดเดียว หรือมัดผมทรงหางม้า จะทำให้เส้นผมถูกทำร้ายได้มากกว่าที่คิด และการรวบผมไว้ที่จุดเดียวในช่วงเวลาออกกำลังกาย จะยิ่งทำให้เส้นผมอ่อนแอลงเรื่อยๆ สำหรับใครที่กลัวผมชี้ฟู แนะนำให้ถักเปียแบบหลวมๆ แทนการรวบผมหรือมัดหางม้า เพราะการถักเปียแบบหลวมจะไม่ทำให้ผมชี้ฟูและช่วยป้องกันผมขาดหลุดร่วงได้ดีอีกด้วย

4.ไม่ควรพันหัวด้วยผ้าขนหนู
หลายคนมักจะใช้ผ้าขนหนูพันหัว หลังจากสระผมทุกครั้งหลังออกกำลังกาย ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นเรื่องผิดพลาดที่ทำต่อๆ กันมา การเอาผ้าขนหนูมาพันหัวจะทำให้ผ้าดูดซับน้ำออกจากเส้นผมจนหมด จึงทำให้ผมไม่เรียบตรง อีกทั้งยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้เส้นผมแตกปลายอีกด้วย ดังนั้นควรใช้วิธีการบิดน้ำออกจากผมแต่เพียงเบาๆ แทนการใช้ผ้าขนหนูพันหัวจะดีกว่า


5.บำรุงเส้นผมด้วยน้ำมันมะพร้าว
ทุกครั้งหลังเสร็จสิ้นภารกิจการออกกำลังกาย แนะนำให้ใช้น้ำมันมะพร้าวหมักผมไว้ก่อนสระประมาณ 30 นาที วิธีนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยบำรุงเส้นผมให้มีความแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับเส้นผม และยังช่วยป้องกันปัญหาผมขาดร่วงได้อีกด้วย ที่สำคัญยังสามารถใช้แทนเซรั่มหรือครีมบำรุงผมต่างๆ ได้ เพราะจะช่วยให้มั่นใจในเรื่องของสารตกค้างบนหนังศีรษะได้เป็นอย่างดี

นอนน้อยหน้าโทรม แก้ได้

 


ดื่มน้ำให้มากขึ้น
การที่เราพักผ่อนน้อยทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำไปค่อนข้างเยอะ เนื่องจากอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายพักผ่อนไม่เต็มที่ เลยทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ความสามารถในการกักเก็บความชุ่มชื้นของผิวจึงลดลงตาม ทำให้หน้าแห้ง หมองคล้ำ ลอกเป็นขุย และเห็นริ้วรอยได้ง่าย ดูแล้วโทรมสุด ๆ ดังนั้นเราจึงต้องชดเชยน้ำให้กับผิวด้วยการดื่มน้ำให้มากขึ้นกว่าเดิม ใช้การหมั่นจิบบ่อย ๆ ทั้งวันแทนเพื่อคืนน้ำให้กับผิวและเซลล์อวัยวะอื่น ๆ ได้กลับมาทำงานเป็นปกติ

อย่าล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น
หลังตื่นนอน แทนที่จะล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเพื่อให้รู้สึกสบาย ผ่อนคลายผิวหน้า ให้ฝืนล้างหน้าด้วยน้ำเย็นแทนจะดีกว่า เพื่อปลุกทั้งตัวเองและผิวให้ตื่น เพราะน้ำเย็นจะช่วยให้รู้สึกสดชื่น ลดความบวม กระชับรูขุมขน และช่วยอำพรางความโทรมของใบหน้าได้ชั่วคราว หน้าจึงดูสดใสเด้งตึงไม่โทรมเหมือนใช้น้ำอุ่น เพราะอุณหภูมิของน้ำอุ่นจะดึงเอาน้ำที่เหลืออยู่น้อยนิดออกไปจากผิวมากกว่าเดิม หน้าจะยิ่งแห้งและดูเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย

เปลี่ยนวิธีแต่งหน้า
ก่อนแต่งหน้า ให้มาส์กหน้าก่อนสัก 10-15 นาที เพื่อให้ผิวดูชุ่มฉ่ำน้ำ หรือเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นมากขึ้น จากนั้นแต่งหน้ากลบ โดยเปลี่ยนวิธีการแต่งหน้า จากเดิมที่ชอบแต่งแบบแมตต์ โบกหน้าหนาๆ เน้นผิวเรียบเนียน ไม่มันวาว ไม่สะท้อนประกาย มาแต่งแบบดิวอี้ ที่จะทำให้ผิวดูฉ่ำๆ มันวาวนิดๆ ดูสุขภาพดีกว่ากันเยอะ เพราะการโบกหน้าหนาเกินไป จะยิ่งทำให้หน้าดูอิดโรยไม่เป็นธรรมชาติ แถมเห็นริ้วรอยชัดขึ้นด้วย

พกสเปรย์น้ำ
อย่างที่บอกว่าคนนอนน้อยผิวจะดูแห้งและโทรมเอามากๆ ดังนั้นควรหาขวดสเปรย์เล็กๆ ใส่น้ำ ไว้ใช้ฉีดหน้าในกรณีฉุกเฉินที่เครื่องสำอางที่เราโบกไว้เริ่มอำพรางหน้าได้น้อยลง หรืออาจตกร่องเพราะผิวแห้งเกินไปก็ได้ ถ้าใครมีทุนทรัพย์หน่อย จะซื้อสเปรย์น้ำแร่สำหรับฉีดหน้าโดยเฉพาะมาใช้ก็ไม่เสียหาย ฉีดเสร็จให้ซับด้วยกระดาษสำหรับเช็ดหน้าเบาๆ น้ำจะเคลือบชั้นเครื่องสำอางไว้ ต่อชีวิตผิวหน้าโทรมๆ วันอดนอนได้อีกหน่อย



วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2563

ตัดผมช่วยได้ ทรงผมหน้าม้าผู้ชาย แก้ปัญหาหน้าผากกว้าง หัวเถิก

 



        หากในตอนนี้คิดจะเดินเข้าไปในร้านตัดผมแล้วยังไม่รู้ว่าจะตัดผมทรงไหนล่ะก็ Sanook! MEN ขอเป็นอีก หนึ่งทางเลือกในการนำเสนอทรงผมให้กับคุณครับ สำหรับแบบทรงผมนี้เป็นทรงหน้าม้าผู้ชาย หน้าม้าเหมาะสำหรับคนที่หน้าผากกว้าง และคนหัวเถิก เพราะผมหน้าม้า จะช่วยปกปิดหน้าผากเอาไว้ได้ ผมม้ามีหลายแบบครับ ไม่ว่าจะเป็น ม้าเต่อ ม้าตรง ม้าปัด แล้วแต่จะเลือกตัดตามความเหมาะสมและสไตล์ของแต่ละคน แต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้จากคนที่ตัดผมหน้าม้า คือจะทำให้ดูเด็กลงทันทีครับ หากใครสนใจจะตัดผมหน้าม้าแบบไหน ก็เซฟรูปใส่โทรศัพท์มือถือแล้วไปเปิดให้ช่างตัดผมดูได้เลยครับ


แบบทรงผมหน้าม้าชาย


แบบทรงผมชาย


แบบทรงผมชาย ผมหน้าม้า




วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2563

วิธีรักษาสิวไม่มีหัว หน้าใส ได้ผลเร็ว

 สิวไม่มีหัว เป็นสิวที่ก่อให้เกิดความรำคาญ และ เจ็บผิวด้วยนะคะ วันนี้เรามาแนะนำ วิธีง่ายๆ ที่ช่วยรักษาสิวไม่มีหัวให้หายขาด และ ได้ผลเร็วค่ะ

1.ลดอาการปวดด้วยครีมปฏิชีวนะ

สิวที่ไม่มีหัวจะทำการบีบออกได้ยากมากและจะมีความเจ็บปวดทุกครั้งที่บีบหรือกด ดังนั้น คุณควรเลือกใช้ครีมที่มียาปฏิชีวนะในการต้านการอักเสบของสิว หรือครีมที่ใช้รักษาสิวซึ่งต้องมีคุณสมบัติของกรดซาลิไซลิกหรือ benzoyl peroxide  แต้มบริเวณสิวเพราะตัวยาจะช่วยลดการอักเสบ บวมแดงให้ลดลงอย่างรวดเร็ว

2.ประคบร้อน

ใช้กระเป๋าน้ำร้อนใส่น้ำร้อนที่อุณหภูมิไม่เกิน 45 องศา ประคบร้อนตรงที่เป็นสิวทิ้งเอาไว้ 2-3 นาทีต่อการประคบ 1 ครั้งและทำแบบนี้ทุกวันเป็นเวลา 3 วันอาการบวมจากสิวจะลดลงอย่างง่ายดายเลยล่ะ

3.ประคบเย็น

การประคบเย็นก็คือการบรรเทาความรู้สึกเจ็บปวด โดยการใช้น้ำแข็งมาหุ้มด้วยผ้าประคบตรงจุดที่เป็นสิวสักประมาณ 10 นาที อาจทำในช่วงเวลาที่ปวดแต่ต้องทำหลายครั้งต่อวันจนกว่าความปวดจะบรรเทาลง

4.น้ำผึ้ง

น้ำผึ้งนั้นมีสารต้านแบคทีเรียที่จะเข้ามาอุดตันในรูขุมขนทำให้เกิดเป็นสิวได้ คุณผู้หญิงสามารถลดอาการเหล่านี้ลงได้ด้วยการทาน้ำผึ้งในบริเวณที่เป็นสิวทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้บริเวณที่เป็นสิวยุบลงอย่างเห็นได้ชัด

5.ว่านหางจระเข้

การใช้ว่านหางจระเข้นั่นก็คือนำเนื้อว่านหางจระเข้ที่ล้างสะอาดแล้วมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ทาลงบนสิวไม่มีหัวทิ้งไว้ 20 นาทีหรือคุณจะฝานเป็นแผ่นบางมาสก์หน้าไว้เลยก็ได้ เมื่อครบ 20 นาทีแล้วค่อยล้างออก ทำแบบนี้  3 ครั้งต่อวันรับรองสิวจะยุบจนหายดีแน่นอน หรือจะมาส์กผิว ทาผิวด้วยเจลว่านหางจระเข้ ก็ทำให้ผิวฉ่ำน้ำและลดการอักเสบได้จร้า

แนะนำคู่มาส์กสิว ผิวแข็งแรงลดการอักเสบของผิว ดีท๊อกผิวได้เพียงข้ามคืน


6.พบแพทย์

หากสิ่งที่เป็นอยู่นั้นเกิดขึ้นแล้วคุณมีอาการปวดมาก เจ็บจนไม่สามารถประกอบอาชีพภายในชีวิตประจำวันได้ สิ่งที่ควรทำนั่นคือคุณต้องรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อให้แพทย์ทำการตรวจรักษา ไม่อย่างนั้นหากคุณปล่อยเอาไว้จากสิวไม่มีหัวธรรมดาอาจกลายเป็นสิวหัวช้างที่อักเสบลามไปยังจุดอื่นได้เลยทีเดียว

7.มาสก์หน้าเป็นประจำ

สูตรการมาสก์หน้าสำหรับคนที่ชอบเป็นสิวด้วยการใช้ขมิ้น+น้ำผึ้ง+โยเกิร์ตหรือนมอย่างละ 1 ช้อนชามาผสมและคนให้เข้ากัน แล้วมาสก์หน้าทิ้งไว้ 15 นาที  เมื่อครบแล้วจึงล้างออกจะช่วยต้านแบคทีเรียและยับยั้งการเกิดการอักเสบของสิว ทั้งยังลดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวได้อีกด้วย



วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2563

สูตรดีท็อกซ์ ลดพุง ผิวสวยใสออร่าพุ่ง ได้ผลจริง

  


1.สูตรกล้วยน้ำว้า + นมสด

เตรียมนมสด 2 กล่อง และกล้วยน้ำว้า 2 ลูกมาปั่นให้ละเอียด ดื่มหลังจากตื่นนอนในช่วงที่ท้องว่าง จะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี สำหรับสูตรนี้แนะนำให้ทำติดต่อกัน 3 วัน เพื่อเป็นการปรับเวลาในการขับถ่ายช่วงเช้าให้ตรงต่อเวลามากขึ้น

2.สูตรแตงกวา + เลมอน + น้ำแร่ + ใบมิ้นท์

ให้นำเลมอน 2 ลูก และแตงกวา 1/2 ลูก มาฝานบางๆ จากนั้นใส่ใบมิ้นท์ 10 ใบ ใส่ลงไปในขวดโหล ต่อด้วยเติมน้ำแร่ประมาณ 3/4 ถ้วย แช่ไว้ในตู้เย็นประมาณ 7-8 ชั่วโมง แล้วนำมาดื่มในตอนเช้า สูตรนี้จะช่วยกำจัดและชะล้างของเสียออกจากร่างกาย พร้อมทั้งให้ความสดชื่นแก่ร่างกายในช่วงเช้าอีกด้วย แนะนำให้เตรียมก่อนเข้านอน เพื่อที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าสามารถเอามาดื่มได้เลย

3.สูตรแมงลัก + น้ำเปล่า

นำแมงลัก 2 ช้อนชา และน้ำร้อน 1 แก้ว ผสมเข้าด้วยกัน รอให้แมงลักพองตัวเต็มที่จึงเอามาดื่มก่อนนอน ในส่วนของแมงลักนั้นจะอุดมไปด้วยใยอาหารสูง ซึ่งมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ มีความสามารถในการขับของเสียออกจากร่างกายในช่วงเช้า และยังเป็นการทำความสะอาดกระเพาะอาหาร พร้อมทั้งดูดสารอาหารได้ดีขึ้นอีกด้วย

4.สูตรน้ำผึ้ง + โยเกิร์ตรสธรรมชาติ + มะนาว + นมสด

เตรียมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย นมสด 1 กล่อง น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา และมะนาว 1/2 ลูก นำส่วนผสมทั้งหมดเทใส่ลงไปในแก้วแล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นเอามาดื่มทันที สูตรนี้แนะนำให้ดื่มก่อน 7 โมงเช้า เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบขับถ่าย และเพื่อให้ลำไส้สามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น สูตรนี้หลายคนคอนเฟิร์มว่าสามารถทำให้พุงยุบลงได้เร็วจริง

5.สูตรผักบุ้งจีนต้ม

นำผักบุ้งจีน 100 กรัมมาต้มรับประทาน เพราะการทานผักบุ้งจีนต้มนั้น จะช่วยให้ระบบขับถ่ายสามารถทำงานได้ดีขึ้น และยังช่วยลดอาการท้องผูกได้อีกด้วย ในส่วนของการเอาผักบุ้งจีนมาต้มนั้น ก็เพื่อสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงของการควบคุมอาหารสามารถดีท็อกซ์ร่างกายได้ด้วยสูตรนี้ แต่สำหรับใครที่ไม่ได้ควบคุมอาหารแต่อย่างใด สามารถเปลี่ยนมาผัดผักบุ้งจีนแทนได้เช่นกัน

หากใครไม่มีเวลาแนะนำ ไฟเบอร์ลืมอ้วน สำหรับผู้ที่มีปัญหาระบบขับถ่าย ทำให้พุงป๋อง และอึดอัด ลดความอ้วนยังไงก็ไม่ได้ผล https://www.chivabeauty.com/product/202/


สั่งซื้อด่วนทักไลน์ไอดี : chivabeauty



วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2563

อยากพุงยุบต้องรู้จัก อาหาร "โพรไบโอติกส์" ช่วยปรับลำไส้-ระบบขับถ่าย

 



โพรไบโอติกส์ คืออะไร?
รองศาสตราจารย์ วิมล ศรีศุข ภาควิชาอาหารเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า โพรไบโอติกส์ คือ เชื้อจุลินทรีย์ที่มีชีวิต เป็นสายพันธุ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อรับประทานเข้าไปในร่างกายแล้วจะไปตั้งรกรากอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่  ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่แต่เดิมในลำไส้ ทำให้แบคทีเรียที่ดีมีจำนวนมากขึ้น และแบคทีเรียที่ไม่ดีจำนวนลดลง (คือพวกที่ทำให้ท้องอืด ท้องเสีย สร้างสารก่อมะเร็ง สารที่มีกลิ่นเหม็น ฯลฯ) ทำให้สุขภาพของลำไส้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังให้ประโยชน์อื่นๆ เช่น เพิ่มภูมิคุ้มกัน เป็นต้น ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์นั้นๆ

ดังนั้น การบริโภคอาหารที่มีโพรไบโอติกส์ จึงทำให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นได้นั่นเอง

10 อาหาร "โพรไบโอติกส์" ที่ควรรับประทาน
คอทเทจชีส
คอชีสต้องรักสิ่งนี้! เพราะคอมเมทชีสนอกจากจะมีเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว (พลิกดูที่ฉลากข้างบรรจุภัณฑ์เพื่อดูว่ามีจุลินทรีย์ชนิดใดบ้าง) แต่ยังมีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายอย่าง แคลเซียม ในปริมาณสูงอีกด้วย ซึ่งช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรงนั่นเอง


  • กิมจิ
คอเกาหลีต้องเลิฟ! เพราะนอกจากจะมีโพรไบโอติกส์ดีๆ ต่อร่างกาย และมีรสชาติเปรี้ยวๆ จะช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหารเข้มข้นขึ้น อร่อยขึ้นแล้ว กิมจิยังขึ้นชื่อในเรื่องของการช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้อีกด้วย

  • ซาวร์เคราต์
ซาวร์เคราต์ (Sauerkraut) กะหล่ำปลีเปรี้ยวของเยอรมัน ใช้รับประทานเป็นเครื่องเคียงร่วมกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไส้กรอก แฮม หรือนำไปอบร่วมกับเนื้อสัตว์ นอกจากจะช่วยลดความเลี่ยนในการรับประทานเนื้อสัตว์ในมื้ออาหารแล้ว ยังช่วยประบสมดุลในการทำงานของระบบย่อยอาหาร และยังมีกากใยอาหารที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย


  • โยเกิร์ต
กระบวนการในการทำโยเกิร์ตมาจากการหมักเป็นหลัก ดังนั้นเชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่ในโยเกิร์ตจึงเป็นจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และมีอยู่ในปริมาณค่อนข้างสูง ซึ่งช่วยให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ในกรีกโยเกิร์ตที่จะมีจุลินทรีย์ Lactobacillus acidophilus และ Lactobacillus casei ที่ช่วยเพิ่มเชื้อแบคทีเรียที่ดีต่อร่างกายในท้องของเราด้วย

  • มิโสะ
แม้ว่ามิโสะจะมีรสเค็ม ที่แปลว่ามีปริมาณโซเดียมอยู่เยอะพอสมควร แต่มิโสะก็เป็นแหล่งอาหารชั้นดีที่เต็มไปด้วยโปรตีน แคลเซียม ธาตุเหล็ก และแมกนีเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค เสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยในการเผาผลาญไขมันและเปลี่ยนเป็นพลังงาน และช่วยให้หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจเฉียบพลันได้


  • พิคเกิ้ล (แตงกวาดอง)
แตงกวาดองแบบฝรั่ง หรือที่เรียกว่า พิคเกิ้ล (Pickles) นอกจากจะเป็นอาหารหมักดองที่มีเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังมีวิตามินดีๆ เช่น วิตามินเค วิตามินเอ ที่จำเป็นต่อการสร้างเลือดและเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย และมีส่วนสำคัญในการบำรุงหัวใจให้แข็งแรง แต่ต้องจำเอาไว้ด้วยว่า แตงกวาดองมีโซเดียมสูง จึงควรจำกัดปริมาณในการกินในแต่ละครั้งให้ดี
 

  • คอมบูชา
คอมบูชา คือ ชาหมักที่จะมีก๊าซและแอลกอฮอล์เกิดขึ้นเล็กน้อยหลังจากการหมักด้วย ทำให้เกิดกระบวนการที่เรียกว่า “คาร์บอเนชั่น” (carbonation) หรือการที่มีก๊าซอยู่ในเครื่องดื่ม ซึ่งทำให้เกิดโพรไบโอติกส์ในปริมาณสูง รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วนเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิต้านทานโรค นอกจากนี้ยังมีกรดแลคติก หรือแลคติก เอซิด (lactic acid) ที่ช่วยลดอาการท้องเสียได้อีกด้วย
 

  • น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล
น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล (Apple Cider Vinegar) ช่วยในเรื่องของการทำงานของระบบย่อยอาหารได้ดี นิยมนำมาผสมในน้ำสลัด เป็นอาหารที่เหมาะหับคนที่อยากควบคุมน้ำหนัก เพราะเพิ้มการทำงานของระบบเผาผลาญไขมัน และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้รับประทานวันละ 4 ช้อนโต๊ะ
 

  • เทมเป้
เทมเป้เป็นโปรตีนที่ทำมาจากถั่วเหลือง หรือถั่วเมล็ดแห้ง ที่สามารถรับประทานเพื่อทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ ช่วยลดอาการอักเสบในร่างกาย ต่อต้านการเกิดของเนื้องอก และยังมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ให้กับร่างกายได้อีกด้วย


  • พาร์มีซานชีส
ชีสโปรดของใครหลายๆ คน มีกรดแลคติกที่ช่วยสร้างแบคทีเรียที่ดีต่อร่างกายในท้องของเราได้ นอกจากนี้ยังมีสารอาหารสำคัญอย่างโปรตีน และแคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อด้วย