วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

ผักเคลคุณสมบัติลับที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

 


ผักเคล (Kale) ได้รับการยกย่องให้เป็นราชินีแห่งผักใบเขียว และเป็นหนึ่งในซูเปอร์ฟู้ดที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่สูงและสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย ทำให้ผักเคลกลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์สุขภาพของหลายๆ คน แต่คุณรู้หรือไม่ว่าผักเคลนั้นมีอะไรมากกว่าแค่ใบเขียว? ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปเจาะลึกถึงคุณประโยชน์ที่น่าสนใจของผักเคล รวมถึงวิธีการนำไปประกอบอาหารและดูแลสุขภาพ

คุณค่าทางโภชนาการที่อัดแน่น

ผักเคลอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น

  • วิตามิน K: ช่วยในการแข็งตัวของเลือดและสุขภาพของกระดูก
  • วิตามิน A: บำรุงสายตาและผิวพรรณ
  • วิตามิน C: เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  • แคลเซียม: ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง
  • เหล็ก: ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง

นอกจากนี้ ผักเคลยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งช่วยป้องกันเซลล์จากความเสียหาย และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคความเสื่อมของสมอง

ประโยชน์ต่อสุขภาพที่น่าทึ่ง

  • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง: สารต้านอนุมูลอิสระในผักเคลช่วยต่อสู้กับอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ
  • บำรุงสายตา: วิตามิน A ช่วยให้สายตาดีขึ้น ลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจก
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: วิตามิน C ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ป้องกันการติดเชื้อ
  • ช่วยในการลดน้ำหนัก: ไฟเบอร์ในผักเคลช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ทำให้ควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้น
  • บำรุงผิวพรรณ: สารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์

วิธีการนำผักเคลไปประกอบอาหาร

ผักเคลสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น

  • สลัด: ผักเคลเป็นส่วนผสมหลักในสลัดหลายชนิด เพิ่มความอร่อยและคุณค่าทางโภชนาการให้กับสลัด
  • สมูทตี้: ปั่นผักเคลกับผลไม้และโยเกิร์ต เพื่อทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
  • ผัด: นำผักเคลไปผัดกับวัตถุดิบอื่นๆ เช่น หมู เห็ด หรือเต้าหู้
  • ซุป: ต้มผักเคลกับซุปต่างๆ เพื่อเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ
  • ชิปส์ผักเคล: นำผักเคลไปอบจนกรอบ เป็นของว่างที่อร่อยและดีต่อสุขภาพ

ผักเคลเป็นซูเปอร์ฟู้ดที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การนำผักเคลมาประกอบอาหารเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและป้องกันโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นอย่าลืมเพิ่มผักเคลเข้าไปในเมนูอาหารของคุณกันนะคะ

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่ควรถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์ หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ

หัวข้อเพิ่มเติมที่น่าสนใจ:

  • ผักเคลปลูกเองได้ที่บ้าน
  • สูตรอาหารจากผักเคล
  • ผักเคลกับโรคต่างๆ

อยากให้ผิวสวยใส ต้องรู้! 8 สกินแคร์ที่ควรแช่เย็น

 

8 สกินแคร์ที่ควรเก็บในตู้เย็น ผิวสวยใส อิ่มน้ำ

การเก็บสกินแคร์บางชนิดไว้ในตู้เย็น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ผิวของคุณได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่ ลองมาดูกันว่ามีสกินแคร์กลุ่มไหนบ้างที่ควรเก็บในตู้เย็น

  1. เซรั่มวิตามินซี: วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ไวต่อแสงและอุณหภูมิ การเก็บในตู้เย็นจะช่วยคงความเข้มข้นและประสิทธิภาพในการลดเลือนจุดด่างดำและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
  2. เจลว่านหางจระเข้: เจลว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบและช่วยให้ผิวเย็นสบาย การแช่เย็นจะช่วยเพิ่มความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายผิว
  3. มาส์กหน้า: ไม่ว่าจะเป็นมาส์กหน้าเนื้อเจล, เนื้อครีม หรือแผ่นมาส์ก การแช่เย็นจะช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่นและกระชับตัวมากขึ้น
  4. ครีมบำรุงรอบดวงตา: การแช่เย็นครีมบำรุงรอบดวงตาจะช่วยลดอาการบวมและรอยคล้ำใต้ตาได้เป็นอย่างดี ทำให้ดวงตาดูสดใสและเปล่งประกาย
  5. ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย: น้ำมันหอมระเหยมีคุณสมบัติในการบำบัดและผ่อนคลาย การแช่เย็นจะช่วยให้กลิ่นหอมชัดเจนยิ่งขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงผิว
  6. สเปรย์น้ำแร่: การพ่นสเปรย์น้ำแร่เย็นๆ บนผิวหน้าจะช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่นและกระชับตัว
  7. ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเปปไทด์: เปปไทด์เป็นสารโปรตีนขนาดเล็กที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน การเก็บในตู้เย็นจะช่วยคงประสิทธิภาพของเปปไทด์
  8. ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูรอนิก: กรดไฮยาลูรอนิกเป็นสารที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว การแช่เย็นจะช่วยให้โมเลกุลของกรดไฮยาลูรอนิกคงตัวและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อควรระวัง:

  • อ่านฉลาก: ก่อนนำผลิตภัณฑ์ไปแช่เย็น ควรอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ก่อนเสมอ เพื่อตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์นั้นสามารถเก็บในตู้เย็นได้หรือไม่
  • ภาชนะบรรจุ: เลือกภาชนะบรรจุที่สะอาดและปิดสนิท เพื่อป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์ปนเปื้อน
  • อุณหภูมิ: ควรเก็บสกินแคร์ในช่องเย็น ไม่ใช่ช่องแช่แข็ง เพื่อป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์เสีย

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • หากคุณมีผิวแพ้ง่าย ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใดๆ
  • การเก็บสกินแคร์ในตู้เย็นเป็นเพียงวิธีการหนึ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องทำตาม
  • ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2567

แจกสูตรมาส์กโฮมเมด สำหรับผลัดเซลล์ผิวขาวกระจ่างใส แถมกันแดด

แป้งข้าวกล้องนั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น วิตามิน B3 วิตามิน E แมกนีเซียม ใยอาหาร ฯลฯ ซึ่งช่วยให้ผิวกระจ่างใส เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น และลดรอยสิว

มาดูสูตรมาส์ก DIY แป้งข้าวกล้องกันเลย

1. มาส์กข้าวกล้อง + โยเกิร์ต

  • ผสมแป้งข้าวกล้อง 2 ช้อนโต๊ะ กับโยเกิร์ตธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะ
  • คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อครีมข้น
  • ทาลงบนใบหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที
  • ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

2. มาส์กข้าวกล้อง + น้ำผึ้ง

  • ผสมแป้งข้าวกล้อง 2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
  • คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อครีมข้น
  • ทาลงบนใบหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที
  • ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

3. มาส์กข้าวกล้อง + กล้วยหอม

  • บดกล้วยหอมสุก 1/2 ผล
  • ผสมกับแป้งข้าวกล้อง 1 ช้อนโต๊ะ
  • คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อครีมข้น
  • ทาลงบนใบหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที
  • ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

4. มาส์กข้าวกล้อง + มะเขือเทศ

  • บดมะเขือเทศ 1 ผล
  • ผสมกับแป้งข้าวกล้อง 1 ช้อนโต๊ะ
  • คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อครีมข้น
  • ทาลงบนใบหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที
  • ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

5. มาส์กข้าวกล้อง + นม

  • ผสมแป้งข้าวกล้อง 2 ช้อนโต๊ะ กับนมสด 1 ช้อนโต๊ะ
  • คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อครีมข้น
  • ทาลงบนใบหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที
  • ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

หมายเหตุ

  • ก่อนใช้มาส์ก ควรล้างหน้าให้สะอาดก่อน
  • ทดสอบการแพ้บนท้องแขนก่อนใช้
  • ไม่ควรทาครีมบริเวณรอบดวงตา
  • ใช้มาส์ก 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

เคล็ดลับ

  • สามารถปรับสูตรได้ตามความชอบ เช่น เพิ่มน้ำผึ้ง มะนาว หรือว่านหางจระเข้
  • เก็บมาส์กที่เหลือไว้ในตู้เย็นได้ 1-2 วัน
  • ใช้แปรงมาส์กทาจะทำให้สะดวกยิ่งขึ้น

หวังว่าสูตรเหล่านี้จะช่วยให้คุณมีผิวสวยกระจ่างใส เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น และไร้สิวนะคะ

แนะนำเพิ่มเติม สูตร มาส์กข้าวกล้อง เพื่อผิวกระจ่างใส และ เนียนนุ่ม




วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

"เคล็ดลับผิวขาว: ครีมบำรุงผิวเพียงพอหรือไม่?"


อยากผิวขาวต้องรู้ ทาครีมบำรุงผิว แล้วไม่ทาครีมกันแดดได้หรือไม่สำหรับผิวพรรณที่มีความขาวเนียนเป็นเสมือนเป้าหมายที่หลายๆ คนต่างปรารถนาและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีเพื่อให้ผิวสว่างขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่เราจะต้องการผิวขาวเนียนหรือรักษาความขาวของผิวที่มีอยู่แล้ว การใช้ครีมบำรุงผิวเป็นประจำอาจจะไม่เพียงพอโดยไม่ใช้ครีมกันแดด คำแนะนำคือ ไม่ควรละเลยการใช้ครีมกันแดดหลังจากใช้ครีมบำรุงผิวแล้ว

แม้ว่าครีมบำรุงผิวจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและดูแลผิวให้ดีในด้านอื่นๆ แต่ส่วนใหญ่ครีมบำรุงผิวไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีจากแสงแดด

รังสียูวีจากแสงแดดเป็นปัญหาที่ทุกคนควรระมัดระวัง เพราะมันสามารถก่อให้เกิดผลเสียต่อผิวหนังได้หลายรูปแบบ เช่น การทำให้ผิวมืดคล้ำ ริ้วรอยเกิดก่อนวัย ผิวไหม้จากแสงแดด และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังด้วยดังนั้น การใช้ครีมกันแดดเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

ขั้นตอนในการทาครีมกันแดด

  1. เลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป
  2. ทาครีมกันแดดทั่วใบหน้าและลำคอ
  3. ทาครีมกันแดดลงบนผิว 20 นาทีก่อนออกแดด
  4. ทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมงหรือหลังจากเล่นน้ำหรือเหงื่อ

สรุป

  • การทาครีมบำรุงผิวอย่างเดียวไม่เพียงพอ
  • ครีมกันแดดควรใช้ทุกวันเพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวี
  • เลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป
  • ทาครีมกันแดดให้ทั่วใบหน้าและลำคอ
  • ทาครีมกันแดดก่อนออกแดด 20 นาที
  • ทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมงหรือหลังจากเล่นน้ำหรือเหงื่อออก
แนะนำเพิ่มเติม

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2567

เซรั่มที่ใช้แล้วดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร

เซรั่มที่ดีควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้:

1. มีสารบำรุงผิวที่เข้มข้น: เซรั่มที่ดีควรมีสารบำรุงผิวที่เข้มข้นมากกว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวประเภทอื่นๆ สารบำรุงเหล่านี้ควรมีประสิทธิภาพสูงและสามารถแก้ปัญหาผิวได้ตรงจุด เช่น ริ้วรอย จุดด่างดำ ผิวแห้ง หรือผิวหมองคล้ำ

2. ซึมซาบเร็ว: เซรั่มที่ดีควรมีเนื้อบางเบาและซึมซาบเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ

3. ไม่ก่อให้เกิดสิว: เซรั่มที่ดีควรมีสูตรที่อ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดสิว เหมาะกับทุกสภาพผิว

4. ปลอดภัย: เซรั่มที่ดีควรผ่านการทดสอบจากแพทย์ผิวหนัง ปลอดภัยจากสารเคมีอันตราย

5. เหมาะกับสภาพผิว: สิ่งสำคัญที่สุดคือเซรั่มควรเหมาะกับสภาพผิวของคุณ

ตัวอย่างคุณสมบัติเพิ่มเติมของเซรั่มที่ดี:

  • มีส่วนผสมจากธรรมชาติ
  • ปราศจากแอลกอฮอล์ น้ำหอม และพาราเบน
  • มีค่า pH ที่สมดุล
  • มีกลิ่นหอมอ่อนๆ
  • บรรจุภัณฑ์ใช้งานง่าย

วิธีเลือกเซรั่มให้เหมาะกับสภาพผิว:

  • ผิวแห้ง: เลือกเซรั่มที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) เซราไมด์ (Ceramides) หรือน้ำมันธรรมชาติ
  • ผิวมัน: เลือกเซรั่มที่มีเนื้อบางเบา ซึมซาบเร็ว oil-free และ non-comedogenic
  • ผิวผสม: เลือกเซรั่มที่มีเนื้อบางเบา ซึมซาบเร็ว และมีส่วนผสมที่ช่วยปรับสมดุลของน้ำมันในผิว
  • ผิวแพ้ง่าย: เลือกเซรั่มที่มีสูตรอ่อนโยน ปราศจากสารเคมีอันตราย ผ่านการทดสอบจากแพทย์ผิวหนัง

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • ทดสอบเซรั่มบนท้องแขนก่อนใช้บนใบหน้า
  • ใช้เซรั่มเพียง 2-3 หยดต่อครั้ง
  • ทาเซรั่มหลังล้างหน้า เช้า-เย็น
  • ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน
แนะนำผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวหน้า



สั่งซื้อสอบถาม LINE@ID : @pinpurishop (มี @ นำหน้า)

ภาพถ่ายโดย Shiny Diamond: https://www.pexels.com/th-th/photo/3762882/

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2567

หมดปัญหากับผิวบอบบาง แพ้ง่าย เพียงทำตามนี้


ผิวพรรณ ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้า ผิวกาย ก็เป็นส่วนสำคัญ ที่ต้องให้ความใส่ใจกันเป็นพิเศษ เพราะผิวพรรณที่สวยสดใส ก็ทำให้จิตใจผ่องใสตามไปด้วย

วิธีดูแลผิวแพ้ง่าย

1. ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน

  • ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น โดยใช้น้ำสะอาดหรือน้ำอุ่น
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ปราศจากแอลกอฮอล์ น้ำหอม และสารแต่งสี
  • ล้างหน้าเบาๆ โดยไม่ต้องถูหรือขัดผิว
  • ซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนูเนื้อนุ่ม

2. เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

  • ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์หลังล้างหน้าทุกครั้ง
  • เลือกใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์สูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอม และสารแต่งสี
  • ทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป เป็นประจำทุกวัน

3. หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคือง

  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีรุนแรง เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ พาราเบน และ SLS
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับมลภาวะ ฝุ่น ควัน และแสงแดด
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว
  • หลีกเลี่ยงการสครับผิว หรือผลัดเซลล์ผิวบ่อยเกินไป

4. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักผลไม้
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ลดความเครียด

5. ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

หากมีอาการแพ้รุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

แนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวแพ้ง่าย

เพิ่มเติม

  • ควรทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่บนท้องแขนก่อนใช้บนใบหน้า
  • ควรอ่านฉลากผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดก่อนใช้
  • ควรเก็บผลิตภัณฑ์ในที่แห้งและเย็น
  • ควรเปลี่ยนแปรงแต่งหน้าและพัฟเป็นประจำ
ภาพถ่ายโดย Shiny Diamond: https://www.pexels.com/th-th/photo/3762897/

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2567

หมดกังวลปัญหาผิวสองสี สีผิวไม่สม่ำเสมอ

สำหรับผิวสองสี ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้า ลำคอ หรือ ผิวกาย ซึ่งมองว่าเป็นปัญหา ดูแล้วไม่สะอาดตา ทำให้หลายๆ คนเกิดความกังวลใจ กับสีผิว วันนี้เรามีวิธีแก้ปัญหาให้ผิวสองสี กลับเป็นสีผิวที่ขาวกระจ่างใส เสมอกันได้ มาดูกันเลย

วิธีแก้ปัญหาผิวหน้าและผิวกาย สองสี

ปัญหาผิวสองสีนั้นเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น แสงแดด ฮอร์โมน การอักเสบของผิว หรือแม้แต่กรรมพันธุ์ ซึ่งสามารถแก้ไขได้หลายวิธี ดังนี้

1. ป้องกันแสงแดด

แสงแดดเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวคล้ำเสียและเกิดจุดด่างดำ ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน SPF 30 ขึ้นไป และทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง หรือหลังว่ายน้ำหรือเหงื่อออก

2. ใช้สกินแคร์บำรุงผิว

เลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี Niacinamide, Alpha Arbutin หรือ Tranexamic Acid ซึ่งช่วยลดเลือนจุดด่างดำ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

3. ผลัดเซลล์ผิว

การผลัดเซลล์ผิวอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใส ควรใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่มีความอ่อนโยน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

4. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

น้ำช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและเปล่งปลั่ง ควรดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 8 แก้ว

5. ทานอาหารที่มีประโยชน์

ทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผักผลไม้ الحم citrus fruits

6. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ผิวหมองคล้ำ ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอวันละ 7-9 ชั่วโมง

7. เลเซอร์

หากปัญหาผิวสองสีนั้นรุนแรง สามารถปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาด้วยเลเซอร์

ข้อควรระวัง

  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง
  • ทดสอบผลิตภัณฑ์บนผิวหนังบริเวณท้องแขนก่อนใช้
  • ปรึกษาแพทย์ผิวหนังหากมีอาการแพ้หรือระคายเคือง

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์

แนะนำเรื่องน่ารู้การดูแลผิวหน้า และ ผิวกาย

> 5 วิธีทำให้ผิวขาวกระจ่างใสง่าย ออกแดดแค่ไหน ก็ไม่กลัวคล้ำเสีย

> 5 วิธีแก้ปัญหาผิวสองสี ปรับสมดุลผิวให้ขาวใส ปลอดภัย ไร้กังวล